ในขณะที่ผู้คนจำนวนมากในซีเรียเฉลิมฉลองการสิ้นสุดการปกครองที่ยาวนานของประธานาธิบดีบัชชาร์ อัล-อัสซาด ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับที่อยู่ของเขา หลังจากใช้เวลาทั้งวันในการสืบสวน แต่ปริศนานี้คลี่คลายแล้วหลังจากสื่อของรัฐรัสเซียประกาศว่าอัสซาดเดินทางมาถึงมอสโกแล้ว
“อัสซาดและครอบครัวของเขาเดินทางมาถึงมอสโกแล้ว และรัสเซียอนุญาตให้พวกเขาลี้ภัยด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม” แหล่งข่าวจากสภาเครมลินของรัสเซีย บอก
นับตั้งแต่การลุกฮือเริ่มขึ้นและกลุ่มกบฏรุกคืบไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว อัสซาดก็พยายามทำตัวให้เงียบๆ ภายหลังการพบรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว อัสซาดให้คำมั่นว่าจะต่อสู้กับองค์กรก่อการร้าย แต่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ในขณะที่กลุ่มกบฏยึดเมืองสำคัญๆ ได้สำเร็จ
เมื่อวันเสาร์ (7 ธ.ค.) กลุ่มกบฏกำลังปิดล้อมกรุงดามัสกัส ขณะที่แหล่งข่าวเปิดเผยกับ CNN ว่าไม่พบตัวอัสซาดอยู่ในเมืองนี้เลย แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า กองกำลังของประธานาธิบดีอัสซาดไม่ได้ประจำการอยู่ที่บ้านพักของเขาอีกต่อไป ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ มากมายว่าเขาอาจหลบหนีไปแล้ว
ในตอนแรก สำนักงานประธานาธิบดีซีเรียปฏิเสธว่าอัสซาดไม่ได้ออกจากกรุงดามัสกัสหรือเดินทางไปยังประเทศอื่น โดยระบุว่าสื่อต่างประเทศบางแห่ง ‘กำลังแพร่ข่าวลือและข่าวปลอม’
ท่ามกลางข่าวลือดังกล่าว กระทรวงต่างประเทศของรัสเซียออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) ว่า “อัสซาดตัดสินใจออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีและออกจากประเทศ พร้อมสั่งให้โอนอำนาจโดยสันติ รัสเซียไม่ได้เข้าร่วมการเจรจานี้ ต่อมามีการเปิดเผยว่า อัสซาดเดินทางมาถึงมอสโกแล้ว”
แหล่งข่าวใกล้ชิดกลุ่มกบฏเปิดเผยกับ CNN ว่า อัสซาดเดินทางออกจากกกรุงดามัสกัสภายใต้การคุ้มครองของรัสเซีย ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งเผยว่า อัสซาดเดินทางไปลาตาเกียทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งรัสเซียมีฐานทัพอากาศอยู่ที่นั่น
ข้อมูลการติดตามเที่ยวบินแสดงให้เห็นว่าเครื่องบินลำหนึ่งออกเดินทางจากสนามบินดามัสกัสเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) โดยมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง ก่อนจะหันหัวเครื่องบินกลับไปบินเหนือเมืองโฮมส์อย่างกะทันหัน และหายไปจากแผนที่
รัสเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่ชัดเจน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินเป็นพันธมิตรมายาวนานและสนับสนุนระบอบการปกครองซีเรียด้วยกำลังทางอากาศและความช่วยเหลือทางทหารอื่นๆ ไม่ว่ามอสโกจะเป็นจุดหมายปลายทางถาวรของอัสซาดหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถือเป็นจุดจบที่กะทันหันและน่าอับอายของการครองอำนาจมานานกว่า 2 ทศวรรษ
การปรากฏตัวของกองทหาร...มีนัย?

แหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าวต่างๆ ว่าผู้นำฝ่ายค้านในซีเรียตกลงที่จะรับประกันความปลอดภัยของฐานทัพทหารและสถาบันการทูตของรัสเซียในซีเรีย แต่บล็อกเกอร์สงครามชาวรัสเซียบางคนกล่าวว่าสถานการณ์รอบฐานทัพมีความตึงเครียดอย่างมาก แต่แหล่งข่าวไม่ได้บอกว่าการรับประกันความปลอดภัยจะคงอยู่นานแค่ไหน
รัสเซียเป็นผู้สนับสนุนอัสซาดอย่างแข็งขัน โดยรัสเซียได้เข้าแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือในปี 2015 ซึ่งเป็นการบุกโจมตีตะวันออกกลางครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลาย
อิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคที่กว้างขึ้นและฐานทัพทหารที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ 2 แห่งในซีเรียกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ข้อตกลงในการรักษาฐานทัพอากาศฮไมมิมของรัสเซียในลาตาเกียของซีเรียและฐานทัพเรือที่เมืองทาร์ตูสบนชายฝั่งจะช่วยให้รัสเซียโล่งใจ
‘Rybar’ (ไรบาร์) บล็อกเกอร์ผู้สนับสนุนสงครามของรัสเซียเผยว่า “สถานการณ์รอบฐานทัพถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ไม่ว่าแนวทางอย่างเป็นทางการของมอสโกจะเป็นอย่างไรก็ตาม...”
“เรือรบของรัสเซียได้ออกจากทาร์ตูสและเข้ายึดตำแหน่งนอกชายฝั่งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ขณะที่ฐานทัพอากาศฮไมมิมถูกตัดขาด หลังจากกบฏเข้าควบคุมเมืองใกล้เคียง กองกำลังเคิร์ดเริ่มปิดกั้นสิ่งอำนวยความสะดวกของรัสเซียที่ไกลออกไปเหนือแม่น้ำยูเฟรตีส์ และตำแหน่งของรัสเซียที่โรงงานน้ำมันในเมืองโฮมส์ก็ถูกปิดกั้น” ไรบาร์กล่าว
ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์ กระทรวงต่างประเทศรัสเซียระบุในแถลงการณ์ว่า “ฐานทัพทั้งสองแห่งอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด แต่ได้ลดระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นลงในทันที...ขณะนี้ยังไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของทั้งสองแห่ง”
“จากการเจรจาระหว่างอัสซาดกับผู้เข้าร่วมการสู้รบในดินแดนของสาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เขาจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีและออกจากประเทศ โดยสั่งให้มีการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ” กระทรวงต่างประเทศระบุเพิ่มเติม พร้อมระบุว่ารัสเซียไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาดังกล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังเผยว่า “มอสโกรู้สึกวิตกกังวลกับเหตุการณ์ในซีเรีย เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง และแก้ไขปัญหาการปกครองทั้งหมดด้วยวิธีการทางการเมือง สหพันธรัฐรัสเซียกำลังติดต่อกับกลุ่มฝ่ายค้านในซีเรียทุกกลุ่ม”
Photo by SAUDI PRESS AGENCY / AFP