ดูเหมือนว่าปัญหาฝุ่น ‘PM2.5’ ในบ้านเมืองของเราจะตามรังควานไม่เลิกสักที ไม่ว่าจะฤดูไหนๆ จะนานสักกี่ปี มันก็ดูจะเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลยังจัดการไม่ได้แบบเบ็ดเสร็จ จึงกลายเป็นว่า ‘PM2.5’ นี้ก็เลยยังวนเวียนเป็นเหมือนเจ้ากรรมนายเวรประเทศไทยในรูปแบบ ‘ฝุ่น’ ไม่จบไม่สิ้นเสียทีและมีแต่จะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
มันคงจะดีนะถ้าเราจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปแบบเต็มปอดได้อีกสักครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะมีวันนั้นไหม ‘วันที่ไทยเต็มไปด้วยอากาศสีเขียว’ แต่ที่แน่ๆ ประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ยังมีอากาศบริสุทธิ์เหล่านี้อยู่นะ
เพราะมลพิษทางอากาศเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก แล้วเคยสงสัยไหมว่าอากาศที่สะอาดที่สุดในโลกอยู่ที่ไหนกัน? เมืองใดที่มีคุณภาพอากาศดีที่สุด? หรือเมืองใดที่เต็มไปด้วยอากาศบริสุทธิ์ SPACEBAR จะพาไปดู 10 อันดับแรกของปี 2024 ที่จัดอันดับโดย ‘Smart Air’
1. เมืองซูริก, สวิตเซอร์แลนด์ / 0.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
2. เมืองเพิร์ธ, ออสเตรเลีย / 1.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
3. เมืองโฮบาร์ต, ออสเตรเลีย / 2.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
4. เมืองอุปซาลา, สวีเดน / 3.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
5. เมืองลอนเชสตัน, ออสเตรเลีย / 3.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
6. กรุงเรคยาวิก, ไอซ์แลนด์ / 4.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
7. เมืองตัมเปเร, ฟินแลนด์ / 4.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
8. เมืองตุรกุ, ฟินแลนด์ / 4.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
9. เมืองแวนคูเวอร์, แคนาดา / 4.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
10. เมืองวูลลองกอง, ออสเตรเลีย / 4.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
จากการจัดอันดับพบว่า
- ออสเตรเลียติดอันดับเป็นประเทศที่มีมลพิษน้อยที่สุดในโลก โดยมี 6 เมืองอยู่ใน 25 อันดับแรกของเมืองที่มีมลพิษน้อยที่สุดในโลกและมีคุณภาพอากาศ (PM2.5 ต่ำ) ดีที่สุดในปี 2024
- ตามมาด้วยกลุ่มประเทศนอร์ดิก (ฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์)
นอกจากนี้ ทางสถาบัน ‘Institute for Health Metrics and Evaluation’ ยังพบว่า “ในแต่ละปีเมืองใหญ่ 4 เมืองของอินเดียจะได้สัมผัสกับ ‘อากาศดี’ เพียง 1 วันหรือน้อยกว่านั้นในแต่ละปี” การค้นพบนี้ค่อนข้างน่าตกใจเมื่อพิจารณาว่าคุณภาพอากาศที่ไม่ดีจากฝุ่นละอองเป็นสาเหตุอันดับที่ 6 ของการเสียชีวิตทั่วโลกทุกปี
สำหรับ 10 ประเทศที่มีคุณภาพ ‘อากาศดีที่สุดในโลก’ จากการจัดอันดับเมื่อปลายปี 2023 ได้แก่

1. ไอซ์แลนด์ / 3.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ไอซ์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มนอร์ดิกที่โด่งดังในเรื่องภูเขาไฟและน้ำพุร้อน ทำให้กรุงเรคยาวิกเมืองหลวงของประเทศใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพทั้งหมด จึงมีส่วนทำให้คุณภาพอากาศในภูมิภาคอยู่ในระดับสีเขียว
2. กรีเนดา (ประเทศในทะเลแคริบเบียนตะวันออกเฉียงใต้) / 3.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะเต็มไปด้วยสวนที่มีความเขียวขจี และถูกล้อมรอบด้วยทะเล มันจึงมีส่วนช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศของที่นี่ให้ดีขึ้น
3. ออสเตรเลีย / 4.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

รัฐบาลที่สนับสนุนสภาพภูมิอากาศของออสเตรเลียอาจมีส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพอากาศ โดยในปัจจุบันพบว่า ออสเตรเลียติดอันดับเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีคุณภาพอากาศดีที่สุดในโลก แต่ก็ยังมีความกังวลจากการระเบิดของมลพิษในระยะสั้นอันเนื่องมาจากพายุฝุ่นและไฟป่า
4. นิวซีแลนด์ / 4.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

นิวซีแลนด์จัดว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพอากาศค่อนข้างดีตลอดทั้งปี แม้จะมีหลายครั้งที่ประเทศประสบปัญหามลพิษทางอากาศอันเนื่องมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมก็ตาม
5. เอสโตเนีย / 4.9 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เอสโตเนียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีคุณภาพอากาศสีเขียวอยู่ในระดับสูงในภูมิภาคต่างๆ แม้ว่าจะมีการขยายตัวของเมืองในเมืองหลวงจนทำให้เกิดมลพิษกระจุกตัวอยู่ในเมือง แต่ก็ยังเป็นประเทศที่ติดอันดับอากาศสะอาดไปครองอยู่ดี
6. ฟินแลนด์ / 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

โดยทั่วไปแล้วฟินแลนด์มีคุณภาพอากาศดี ประเทศนี้มีชื่อเสียงในด้านความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ แต่ทั้งนี้ คุณภาพอากาศอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น กิจกรรมทางอุตสาหกรรม การจราจร และการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล
นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ ของฟินแลนด์ได้แก่ บริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์ ‘First Solar, Inc.’, บริษัทด้านพลังงาน ‘Eversource Energy’ และบริษัทพลังงาน ‘NextEra Energy, Inc.’ ยังมีแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนทั้งพัฒนา และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันอย่างแข็งขัน
7. ตรินิแดดและโตเบโก / 5.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ตรินิแดดและโตเบโกเป็นอีกประเทศที่มีคุณภาพอากาศที่น่าพึงพอใจ ประกอบกับมลพิษทางอากาศไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สำคัญต่อประชากร แม้ว่าในพื้นที่เมืองบางแห่งอาจต้องเผชิญกับมลภาวะทางอากาศ
8. อันดอร์รา / 5.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ประเทศอาณาเขตเล็กๆ ทางตะวันออกของเทือกเขาพิเรนีสระหว่างฝรั่งเศสและสเปน โดยทั่วไปแล้วจะมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดเนื่องจากมีประชากรน้อยและมีกิจกรรมทางอุตสาหกรรมที่จำกัด ถึงแม้ว่าคุณภาพอากาศบริสุทธิ์อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น การปล่อยมลพิษจากการจราจรและมลพิษในภูมิภาค แต่ก็ไม่ระแคะระคายยังติดเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มี ‘อากาศที่ดีที่สุด’ ได้
9. เบลีซ (ประเทศในอเมริกากลาง) / 5.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เบลีซเป็นประเทศที่มีระบบนิเวศหลากหลาย เช่น พื้นที่ชายฝั่ง ป่า และเทือกเขามายัน ซึ่งโดยรวมแล้วประเทศนี้ยังคงรักษาคุณภาพอากาศที่ดีไว้ได้ แต่อาจมีบ้างที่ใจกลางเมืองใหญ่ๆ อย่างเบลีซซิตี้อาจเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศเป็นครั้งคราว
10. สวีเดน / 6.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

โดยทั่วไปแล้ว สวีเดนเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีคุณภาพอากาศที่ดีเนื่องจากประเทศมีความหนาแน่นของประชากรต่ำและรัฐบาลออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด
ทำไมอากาศที่ ‘ไอซ์แลนด์’ ถึงครองนัมเบอร์ ‘1’?
ว่ากันว่าอากาศที่ไอซ์แลนด์นั้นสะอาดและสดชื่นมาก ยิ่งเวลาที่หายใจเข้าลึกๆ รู้สึกเหมืนเพิ่งแปรงฟัน อาจฟังดูไม่จริง แต่นี่คือเรื่องจริง! หรือถ้าปีไหนไม่ได้ครองอันดับที่ 1 ก็ยังติดอันดับต้นๆ ของโลกอยู่ดี และนี่คือปัจจัยสำคัญ :
- ประเทศใหญ่ แต่มีประชากรน้อย ทำให้มลพิษน้อยตามไปด้วย เมืองอื่นๆ ในไอซ์แลนด์มีประชากรต่ำกว่า 20,000 คนและส่วนใหญ่มีไม่ถึง 2,000 คนด้วยซ้ำ
- ไอซ์แลนด์ใช้พลังงานสีเขียวสะอาดล้วนๆ เนื่องจากเป็นดินแดนแห่งไฟและน้ำแข็ง เพราะมีธารน้ำแข็งและภูเขาไฟขนาดใหญ่อยู่ทั่วประเทศ โดยแม่น้ำเหล่านี้นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ความร้อนจากใต้ดินก็ถูกนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานความร้อนด้วย ซึ่งประเทศเอามาใช้ในการผลิตไฟฟ้าเช่นกัน
- บ่อน้ำพุร้อนที่มีอยู่มากสามารถนำมาใช้ทำความร้อนให้กับบ้านเรือนเกือบทั้งหมดในไอซ์แลนด์ และเป็นสระน้ำสาธารณะ
- สภาพภูมิประเทศมีส่วน ด้วยความที่ประเทศเป็นเกาะอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ และมีลมแรงมากจากทุกทิศทุกทางตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าอากาศจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้มลภาวะภายนอกไม่สามารถพัดเข้ามาในประเทศได้อย่างเต็มที่
- โรงงานในประเทศส่วนใหญ่ใช้พลังงานสีเขียว นอกจากนี้ รัฐยังขับเคลื่อนให้พลเมืองหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น โดยมีสถานีชาร์จด่วนทุกเมืองและตามป้ายต่างๆ ริมถนนวงแหวน (Ring Road)
แล้วประเทศไทยล่ะจะมีวันนั้นไหมวันที่ ‘อากาศสะอาด’ หายใจได้เต็มปอดสักที?