ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังแสวงหาวิธีฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียและยุติสงครามในยูเครน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เองก็กำลังวางแผนเพื่อผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ทำเนียบขาวได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังร่างรายชื่อมาตรการคว่ำบาตรที่สามารถผ่อนปรนได้ เพื่อหารือกับตัวแทนของรัสเซียในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระหว่างฝ่ายบริหารกับรัสเซียเกี่ยวกับการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจ
ขณะนี้สำนักงานคว่ำบาตรกำลังร่างข้อเสนอเพื่อยกเลิกการคว่ำบาตรต่อหน่วยงาน รวมถึงกลุ่มผู้มีอิทธิพลในรัสเซียบางส่วน
เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวกับการคว่ำบาตรมักจะร่างเอกสารที่เรียกว่า ‘ทางเลือก’ แต่คำขอเฉพาะของทำเนียบขาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเน้นย้ำถึงความเต็มใจของทรัมป์และที่ปรึกษาของเขาที่จะผ่อนปรนการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่อาจเกิดขึ้นกับรัสเซีย แต่ยังไม่ชัดเจนในทันทีว่าสหรัฐฯ จะเรียกร้องอะไรเป็นการตอบแทนการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรได้บ้าง
รัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก หากสหรัฐฯ ผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรระบบพลังงานของรัสเซีย ก็อาจช่วยป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นได้
เมื่อปีที่แล้ว รัฐสภาเครมลินของรัสเซียได้บรรยายความสัมพันธ์ว่า ‘ต่ำกว่าศูนย์’ ภายใต้การบริหารของรัฐบาล โจ ไบเดน ที่ให้ความช่วยเหลือยูเครนด้านอาวุธ และกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวดเพื่อลงโทษรัสเซียที่รุกรานยูเครนในปี 2022
แต่ทรัมป์สัญญาว่าจะยุติสงครามโดยเร็ว และได้โทรศัพท์คุยกับประธานาธิบวลาดิมีร์ ปูตินเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ตามมาด้วยการพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และรัสเซียในซาอุดีอาระเบียและตุรกี
นอกจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐฯ ตั้งแต่การรุกรานยูเครนในปี 2022 แล้ว ยังมีมาตรการที่มุ่งจำกัดรายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ของประเทศ รวมถึงลดความสามารถในการระดมทุนเพื่อทำสงครามด้วย
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทรัมป์ขู่ว่าจะเพิ่มการคว่ำบาตรรัสเซีย หากปูตินไม่เต็มใจที่จะเจรจายุติสงครามในยูเครน แต่ล่าสุด เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของทรัมป์ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าอาจผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ว่า รัสเซียอาจได้รับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับว่ารัสเซียจะดำเนินการเจรจาในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าอย่างไร แต่ทรัมป์บอกกับนักข่าวเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ว่า มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอาจได้รับการผ่อนปรน ‘ในบางจุด’
แหล่งข่าวจากสหรัฐฯ เผยว่า ทำเนียบขาวขอให้เจ้าหน้าที่ด้านการต่างประเทศและกระทรวงการคลังวางแผนบรรเทาการคว่ำบาตรที่เป็นไปได้ ก่อนที่ทรัมป์จะขยายภาวะฉุกเฉินเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์จะพิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรายการใดเป็นอันดับแรก
“ทรัมป์สามารถออกคำสั่งบริหารที่จะอนุญาตให้รัฐบาลเริ่มกระบวนการผ่อนปรนการคว่ำบาตรรัสเซียบางส่วนได้ แต่เขาจะต้องขออนุมัติจากรัฐสภาในการยกเลิกมาตรการกับหน่วยงานบางแห่งด้วย” จอห์น สมิธ หุ้นส่วนสำนักงานกฎหมาย ‘Morrison Foerster’ และอดีตหัวหน้าสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของกระทรวงการคลัง กล่าว
ข้อตกลงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการใดๆ กับรัสเซียอาจต้องให้สหรัฐฯ ผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร
สหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนชั่วคราว...
ทรัมป์สั่งระงับการจัดส่งความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ ไปยังยูเครน หลังจากมีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดกับเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “ประธานาธิบดีกล่าวชัดเจนว่าเขามุ่งเน้นที่สันติภาพ เราต้องการให้พันธมิตรของเรามุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นเช่นกัน เรากำลังระงับ และทบทวนความช่วยเหลือของเราเพื่อให้แน่ใจว่าความช่วยเหลือนั้นมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหา” เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว กล่าว
เจ้าหน้าที่กล่าวว่า การหยุดชั่วคราวนี้จะเป็นการระงับอุปกรณ์ทางทหารทั้งหมดที่ยังไม่ได้อยู่ในยูเครน และถือเป็นการตอบสนองโดยตรงต่อสิ่งที่ทรัมป์มองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีของเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“ในสงครามครั้งนี้ มีผู้รุกรานและผู้ตกเป็นเหยื่ออย่างชัดเจน รัสเซียเป็นผู้รุกรานและยูเครนเป็นเหยื่อ...การหยุดให้ความช่วยเหลือซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นความช่วยเหลือเชิงป้องกันเพื่อให้ชาวยูเครนสามารถปกป้องบ้านเกิดของตัวเองจากการโจมตีอย่างโจ่งแจ้งและโหดร้ายจากรัสเซียนั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่สหรัฐฯ จะทำเช่นนี้” ไมเคิล อาร์.คาร์เพนเตอร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำองค์กรเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป กล่าว
“ขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้นำเพียงคนเดียวในโลกที่มีโอกาสที่จะยุติสงครามในยูเครนได้อย่างถาวร เราต้องการให้ชาวรัสเซียมานั่งโต๊ะเจรจา เราต้องการสำรวจว่าสันติภาพสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่” มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าว
(Photo by Brendan Smialowski / AFP)
