จากกรณีที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิตันแห่งนิวยอร์ก (Met) ส่งคืนรูปปั้น Golden Boy ให้กับไทย ซึ่งรูปปั้นนี้มีความเชื่อมโยงกับ ‘ดักลาส แลทช์ฟอร์ด’ Spacebar จะพาไปรู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของนักค้าโบราณวัตถุชื่อดังคนนี้
แลทช์ฟอร์ด หรือที่รู้จักในชื่อไทย ‘ภัคพงษ์ เกรียงศักดิ์’ คือ พ่อค้างานศิลปะชาวอังกฤษชื่อดังที่ถูกฟ้องในปี 2019 จากข้อกล่าวหาว่าวางแผนเพื่อขายวัตถุโบราณกัมพูชาที่ถูกปล้นในตลาดงานศิลปะระหว่างประเทศ แต่เขาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการลักลอบดังกล่าว
แลทช์ฟอร์ดเคยมาตั้งรกรากในเมืองไทยนานหลายปีตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 และเสียชีวิตที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2020 ด้วยวัย 88 ปี แต่ว่ากันว่าวีรกรรมตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นที่กล่าวขานในวงการโบราณวัตถุเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปในเชิงลบเสียมากกว่า
เจ้าพ่อโบราณวัตถุ ‘ดักลาส แลทช์ฟอร์ด’ คือใคร?
‘ดักลาส แลทช์ฟอร์ด’ เป็นที่รู้จักในวงการพ่อค้างานศิลปะที่พำนักอยู่ในพื้นที่วัฒนธรรมกัมพูชามานานหลายทศวรรษ รวมถึงที่ไทยด้วย เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้อุปถัมภ์โบราณวัตถุ แต่ทว่าชื่อเสียงในบั้นปลายชีวิตกลับตาลปัตร เพราะแลทช์ฟอร์ดถูกทางการสหรัฐฯ กล่าวหาทั้งในคดีแพ่งและอาญาตั้งแต่ปี 2012 ว่าช่วยปล้นวัดศักดิ์สิทธิ์ของกัมพูชาเพื่อซื้อโบราณวัตถุล้ำค่า และขายสิ่งเหล่านั้นให้กับชาวต่างชาติที่ร่ำรวยและพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงจนได้เงินหลายล้าน
ในปี 2019 แลทช์ฟอร์ดถูกฟ้องโดยอัยการรัฐบาลกลางในนิวยอร์กซึ่งกล่าวหาว่าเขาค้าวัตถุโบราณของกัมพูชาที่ถูกปล้นและปลอมแปลงเอกสาร และเผยว่า “เขาสร้างอาชีพขึ้นมาจากการลักลอบขนของเถื่อนและการขายโบราณวัตถุล้ำค่าของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งมักจะส่งตรงจากแหล่งโบราณคดีในตลาดศิลปะนานาชาติ” แต่คำฟ้องดังกล่าวก็ถูกยกฟ้องหลังจากแลทช์ฟอร์ดเสียชีวิตในปีถัดมาด้วยวัย 88 ปี
เจ้าหน้าที่กัมพูชาใช้เวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาในการตามล่าหาโบราณวัตถุทั่วโลก โดยพยายามทวงคืนประวัติศาสตร์ของประเทศที่ถูกขโมยไป ซึ่งแลทช์ฟอร์ดกระจายสิ่งของล้ำค่าเหล่านั้นไปทั่วโลก แต่ความพยายามในการตามวัตถุโบราณดังกล่าวมีความซับซ้อนเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในกรุงเทพฯ ใช้บริษัทนอกอาณาเขตที่เป็นความลับและทรัสต์เพื่อซ่อนสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกขโมย

ขบวนการปล้นระดับโลก…
เอกสาร Pandora Papers ซึ่งเป็นเอกสารรั่วไหลที่เผยแพร่โดยสมาคมนักข่าวสืบสวนนานาชาติ (ICIJ) เปิดเผยอาณาจักรของแลทช์ฟอร์ดอีกอาณาจักรหนึ่ง นั่นก็คือการใช้ทรัสต์และแหล่งหลบเลี่ยงภาษีนอกชายฝั่งเพื่อส่งต่อทรัพย์สินของเขา รวมถึงโบราณวัตถุเขมรให้กับลูกสาวของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนภาษีมรดกของสหราชอาณาจักร
เอกสารที่ผู้ให้บริการนอกอาณาเขตถือครองได้รับการตรวจสอบโดย ICIJ และ Guardian ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนระดับโลกแสดงให้เห็นว่า แลทช์ฟอร์ดก่อตั้งกองทุน 2 แห่งในเจอร์ซีย์ได้อย่างไร โดยทั้ง 2 แห่งตั้งชื่อตามเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ได้แก่ ‘สกันดา ทรัสต์’ (Skanda Trust) ในปี 2011 และ ‘ศิวะ ทรัสต์’ (Siva Trust) ในปี 2012 โดยมี จูเลีย แลทช์ฟอร์ด ลูกสาวของเขา และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวเป็นผู้รับผลประโยชน์
เอกสารดังกล่าวเปิดเผยว่า สกันดาทรัสต์มีบัญชีอยู่ในแหล่งหลบเลี่ยงภาษีนอกชายฝั่งอื่นๆ รวมถึง ‘ราธโบนส์’ (Rathbones) ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการความมั่งคั่งในเจอร์ซีย์ ซึ่งมีเงินจำนวนมากถูกถือครองและลงทุน
ในปี 2011 เกือบจะก่อตั้งพร้อมๆ กับสกันดาทรัสต์ แลทช์ฟอร์ดให้เครดิตว่าเป็นเจ้าของโบราณวัตถุกัมพูชา 80 ชิ้นในหนังสือ ‘Khmer Bronzes’ ที่เขาตีพิมพ์ แต่ไม่มีการให้รายละเอียดเกี่ยวกับทรัสต์ นอกจากนี้ แลทช์ฟอร์ดยังเขียนหนังสือ ‘Adoration and Glory’ ในปี 2004 และ ‘Khmer Gold’ ในปี 2008
ในปี 2003 รัฐบาลสหรัฐฯ และกัมพูชาได้ลงนามในข้อตกลงสำคัญที่ให้คำมั่นว่าจะติดตามการคืนมรดกที่ถูกขโมยไปทั้งหมด ซึ่งเป็นความพยายามที่นำโดยหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations / HSI) ต่อมาในปี 2017 มีการก่อตั้งหน่วยปราบปรามการลักลอบค้าโบราณวัตถุ (antiquities trafficking unit) ขึ้นในนิวยอร์ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบสมบัติที่ถูกขโมย
การดำเนินการทางกฎหมายครั้งแรกของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า แลทช์ฟอร์ดเป็นผู้ปล้นสะดม และทำให้โลกการค้าต้องตกตะลึง นำมาสู่การระงับการเสนอขายประติมากรรมหินทรายของกัมพูชาสมัยศตวรรษที่ 10 ซึ่งจัดโดยบริษัทประมูลงานศิลปะซัทบีส์ในนิวยอร์กเมื่อเดือนมีนาคม 2011
‘ประติมากรรมทุรโยธน์’ ถูกขโมยมาจากปราสาทเชน วัดในเกาะเคอร์ เมืองหลวงของเขมรในสมัยศตวรรษที่ 10 โดยแลทช์ฟอร์ดถูกกล่าวหาในการดำเนินการทางกฎหมายจากการซื้อประติมากรรมดังกล่าวในปี 1972 ทั้งที่รู้ว่างานชิ้นนี้ถูกปล้นมา และยังส่งมอบให้กับบริษัทประมูลในลอนดอน ‘Spink & Son’ จากนั้นเขาก็สมคบคิดกับตัวแทนของ Spink เพื่อขอรับใบอนุญาตส่งออกโดยฉ้อฉล
ต่อมาในปี 2016 โลกศิลปะก็ถูกสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อ แนนซี เวียเนอร์ เจ้าของแกลเลอรีชื่อดังในนิวยอร์กถูกฟ้องในข้อหาครอบครองทรัพย์สินที่ถูกขโมย ซึ่งเป็นผลงานสมัยศตวรรษที่ 10 สองชิ้นที่แลทช์ฟอร์ดจัดหามาให้ ได้แก่ รูปปั้นของพระศิวะในศาสนาฮินดูมูลค่า 578,500 ดอลลาร์สหรัฐ และพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ประทับนั่งบนบัลลังก์ของนาคที่แลทช์ฟอร์ดขายให้เวียเนอร์ในราคา 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ
เวียเนอร์รับสารภาพเมื่อวันที่ 30 กันยายนว่าซื้อประติมากรรมเหล่านั้นมาจากแลทช์ฟอร์ดโดยรู้ว่างานศิลปะดังกล่าวถูกปล้นมา จากนั้นเธอจึงขายพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ประทับนั่งบนบัลลังก์ของนาคต่อในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ หน้าปกของหนังสือ Adoration and Glory ในปี 2004 มีรูปภาพของประติมากรรมเขมร พระศิวะและสกันดาลูกชายของพระศิวะ และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ทางการสหรัฐฯ กล่าวหาว่ารูปปั้นดังกล่าวถูกปล้นไปจากวัดปราสาทกระจับ (Prasat Krachap) ในเกาะเคอร์ ซึ่งกลุ่มโจรปล้นจากบนเกวียนพาไปเมื่อเดือนกันยายน 1997 พร้อมรูปปั้นสำคัญอีก 12 รูป
ในเดือนพฤศจิกายน 2019 แลทช์ฟอร์ดถูกตั้งข้อหาในนิวยอร์กด้วยคำฟ้องความยาว 25 หน้าประกอบด้วยข้อหาขายทรัพย์สินที่ถูกขโมย การลักลอบขนของ การปลอมแปลงเอกสาร การฉ้อโกง และความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายโบราณวัตถุที่ปล้นมาจากเกาะเคอร์ แต่ตอนนั้นเขาป่วยหนักและไร้ความสามารถ จึงไม่ได้รับโอกาสในการแก้ต่างให้กับตัวเองจากข้อกล่าวหาดังกล่าว และเสียชีวิตในปีต่อมา (2020) เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม
หลังจากที่แลทช์ฟอร์ดเสียชีวิต ลูกสาวของเขาก็ตกลงที่จะคืนของสะสมของบิดาซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงในพิพิธภัณฑ์ต่างๆ
จูเลียให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Guardian ว่า “พ่อของเธอได้ให้คำมั่น ‘ที่น่าเชื่อถือ’ แก่เธอว่าข้อกล่าวหาที่มีต่อเขานั้นไม่เป็นความจริง”
Photo by TANG CHHIN SOTHY / AFP