ช่วงหลังๆ มานี้ข่าวพฤติกรรมที่ไม่น่ารักของนักท่องเที่ยวมีให้ได้ยินบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพังหินทรายสีแดงอายุหลายร้อยล้านปีที่อุทยานแห่งชาติ Lake Mead National Recreation Area ในรัฐเนวาดาของสหรัฐฯ หรือนักท่องเที่ยวหญิงปืนขึ้นไปทำท่าทางอนาจารกับรูปปั้นเทพเจ้าบัคคัสของอิตาลี ไล่ตามถ่ายรูปเกอิชาตามถนนในเมืองเกี่ยวโตของญี่ปุ่น ไปจนถึงนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 5 คนที่พากันเปลือยกายวิ่งบนถนนบนเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย และอีกนับไม่ถ้วน
คารินา เรน นักวิจัยด้านการท่องเที่ยวและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยอาลบอร์กในเดนมาร์กเผยว่า ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวที่พฤติกรรมไม่ดีอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าตอนนี้มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เหตุใดคนเหล่านี้จึงทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมขณะเดินทางท่องเที่ยว? พวกเขาคิดอะไรกันอยู่?
ฮาเวียร์ เลเบิร์ต นักจิตบำบัดทางคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตเผยกับสำนักข่าว CNN ว่า “มีหลายปัจจับที่อาจส่งผลต่อพฤติกรรมแบบนี้ อาจเป็นปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยแวดล้อม หรือปัจจัยกลุ่มหากคนคนนั้นเดินทางท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ดังนั้นผมคิดว่าคำถามแรกที่ควรถามนักท่องเที่ยวคือ บุคคลนั้นๆ จะทำพฤติกรรมนี้เวลาเขาหรือเธออยู่ที่บ้านหรือเปล่า”
สิ่งที่จะเรียกว่า “นักท่องเที่ยวพฤติกรรมไม่ดี” อาจมีตั้งแต่ความสะเพร่าอย่างการขวางทางคนอื่นเพื่อให้ได้มุมถ่ายรูปสวยๆ ไปจนถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การเปลือยในที่สาธารณะ หรือพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายอย่างการเข้าใกล้สัตว์ป่า
อลานา ดิลเล็ตต์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการบริการและการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐซานดิเอโกมองว่า พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของนักท่องเที่ยว เช่น การพยายามช่วยให้สัตว์ป่ากลับเข้าไปรวมกับฝูงของมันที่อุทยานแห่งชาตเยลโลว์สโตน อาจเกิดจากการไม่ตระหนักถึงบรรทัดฐานทางสังคมโดยทั่วไปและสิ่งที่ยอมรับได้ในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กัน
“ฉันคิดว่าส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบจากคุณต่อสถานที่ที่คุณไปเยือน ฉันคิดว่ามีคนจำนวนมากเดินทางและพวกเขากำลังคิดว่ามันจะให้ประสบการณ์อะไรบ้าง แต่พวกเข้าไม่ได้คิดว่าการกระทำของพวกเขาจะกระทบกับสถานที่ที่พวกเขาไปอย่างไนบ้าง เพราะพวกเขาไม่มีความรู้”
อลานา ดิลเล็ตต์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการบริการและการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐซานดิเอโก
พฤติกรรมที่ไม่ดีของนักท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งคือสิ่งที่ เคิร์สตี เซดจ์แมน ผู้สอนที่มหาวิทยาลัยบริสตอลและนักพฤติกรรมนิยมเรียกว่า "คนที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล"
เมื่อไม่ได้อยู่ที่บ้านตัวเอง คนบางคนอาจกลายเป็นคนหยาบคายและเรียกร้องนู่นนี่โดยทึกทักเอาเองว่าคนท้องถิ่น คนที่มีหน้าที่บริการ หรือคนอื่นมีหน้าที่รับใช้ตัวเองเท่านั้น พฤติกรรมนี้มีให้เห็นบ่อยขึ้นบนเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารที่ก้าวร้าว ไม่ยอมปฏิบัติตามมารยาทขั้นพื้นฐาน หรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของลูกเรือ
“มันไม่ใช่แค่ผู้คนมีพฤติกรรมไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น บ่อยครั้งที่พวกเขาถูกตำหนิถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีเหล่านั้น…มีแนวโน้มมากขึ้นที่ผู้คนจะโกรธมากขึ้น ความรู้สึกที่ว่า 'อย่าบอกฉันว่าต้องทำอะไร' มันแรงมาก”
เคิร์สตี เซดจ์แมน นักพฤติกรรมนิยม
แต่คำถามคือ พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวแย่ลงเรื่อยๆ จริง ๆ หรือเป็นเพียงผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการที่เราต่างก็แพ็คกระเป๋าออกเดินทางไปสู่โลกกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ?
การเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากในรอบศตวรรษที่ผ่านมา ข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ระบุว่า ปี 2024 มีผู้คนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกถึง 1,400 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2023 และเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด 99%
ย้อนกลับไปในปี 1970 ก่อนที่สายการบินราคาประหยัดจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวบูม ตัวเลขคนเดินทางท่องเที่ยวมีเพียง 166 ล้านคน หากย้อนกลับไปอีกนิดในปี 1950 มีเพียง 25 ล้านคนเท่านั้น
อีกอย่างหนึ่งคือ ในยุคดิจิทัลนี้ สิ่งต่างๆ กลายเป็นไวรัลได้ง่าย จึงอาจทำให้รู้สึกว่าการกระทำที่ไม่เหมาะสมของนักท่องเที่ยวมีเพิ่มมากขึ้น

ผลการสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกัน 1,231 คนเมื่อเดือน ต.ค. 2024 โดย Radical Storage เครือข่ายการจัดเก็บกระเป๋าสัมภาระพบว่า 56.5% ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยประสบกับภาวะ “tourist syndrome” และ “ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมบางอย่าง” ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว และเกือบครึ่งบอกว่าพวกเขาเคยฝ่าฝืนกฎระเบียบที่จะไม่ทำหากอยู่ที่บ้านตัวเองระหว่างเดินทางท่องเที่ยว
“อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอาจฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19 แล้ว แต่น่าเศร้าใจที่การแพร่ระบาดของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมยังเป็นลางร้ายสำหรับเสรีภาพในการเดินทางในอนาคต เนื่องจากมีการประท้วงต่อต้านนักท่องเที่ยวลุกลามไปทั่วยุโรป”
จาโคโม ปิวา ผู้ร่วมก่อตั้ง Radical Storage เผยกับสำนักข่าว USA TODAY
การสำรวจนี้ยังพบว่า นักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมไม่ดีมากที่สุดคือ นักท่องเที่ยวเจนซี โดย 72% ของคนรุ่นใหม่บอกว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมไม่ดีออกมาระหว่างเดินทางท่องเที่ยว
แล้วเหตุใดนักท่องเที่ยวถึงได้รู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด
เกือบครึ่งหนึ่งโทษว่าเป็นความผิดของโซเชียลมีเดียที่ทำให้นักท่องเที่ยวทำพฤติกรรมไม่ดี นักท่องเที่ยว 4 ใน 10 คนบอกว่า การพักร้อนของพวกเขา “เป็นเวลาที่จะปลดปล่อยและสนุกสนาน” และ “ได้ออกจากคอมฟอร์ทโซนและสร้างความทรงจำ” ราว 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า “คุณสามารถเป็นอีกคนหนึ่งในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก”
ความผิดที่พบบ่อยที่สุดที่บรรดานักเดินทางตอบในการสำรวจนี้คือ
- สร้างอาณาเขตของตัวเองด้วยการวางผ้าเช็ดตัวเพื่อจองเก้าอี้นอนริมสระน้ำ
- โพสท่าไม่เหมาะสมกับรูปปั้น
- เด็ดดอกไม้ ใบไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ที่น่าแปลกใจคือ ขณะเดียวกันนั้น 61% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ควรมีบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม เกือบ 2 ใน 3 บอกว่า พวกเขารู้สึกอับอายกับพฤติกรรมไม่ดีของเพื่อนร่วมทาง

แต่ละประเทศแก้ปัญหายังไง
ไอซ์แลนด์ ให้นักท่องเที่ยวสัญญาว่าจะไม่ขับรถออกนอกเส้นทางซึ่งอาจทำให้ธรรมชาติเสียหายหรือไม่ปัสสาวะตามริมทางตามต้นไม้ เมืองเวนิสของอิตาลี ใช้ภาษีท่องเที่ยวแก้ปัญหาโดยเก็บวันละ 5 ยูโร เช่นเดียวกับภูฏานที่เก็บภาษีท่องเที่ยวรายวันวันละ 100 ดอลลาร์สหรัฐมาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นทั้งการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวและปิดประตูสำหรับคนที่มีงบน้อยไปด้วยในตัว
ส่วนอัมสเตอร์ดัมของเนเธอร์แลนด์ประกาศจะควบคุมจำนวนโรงแรมในเมืองโดยห้ามสร้างโรงแรมที่พักแห่งใหม่ บาร์เซโลนาลบเส้นทางรถบัสออกจากกูเกิลแม็พเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเบียดผู้สูงอายุในท้องถิ่นตอนกำลังจะขึ้นรถ เกาะบาเลียริคของสเปนซึ่งมีสถานที่ขึ้นชื่ออย่างเกาะอิบิซา จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อไม่ให้ท้องถนนวุ่นวาย และบาหลีประกาศเก็บภาษีนักท่องเที่ยวหลังนักท่องเที่ยวไม่เคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม
Photo by Philip FONG / AFP