นักวิจัยเร่งหาคำตอบหลังเคสติดเชื้อ ‘ซิฟิลิส’ พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก

2 ก.พ. 2567 - 07:14

  • ตัวเลขของผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆๆ อย่างมีนัยสำคัญและสูงจนค่อนข้างน่ากลัว ดังเช่นในสหรัฐฯ ที่พบผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และแคนาดาที่พบผู้ติดเชื้อสูงถึง 389% ในรอบ 5 ปี

  • ในเดือนมกราคม ปี 2024 CDC รายงานว่า จำนวนผู้ป่วยซิฟิลิสถึงระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยมีรายงานผู้ป่วยซิฟิลิสมากกว่า 203,500 รายในสหรัฐฯ ในปี 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกือบ 2 เท่า จากปี 2018

  • และไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแค่สหรัฐฯ มีผู้ป่วยซิฟิลิสรายใหม่ 7.1 ล้านรายทั่วโลกในปี 2020 ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก

why-syphilis-rising-around-the-world-SPACEBAR-Hero.jpg

‘ซิฟิลิส’ ถูกเรียกอยู่หลายแบบนับตั้งแต่มีการบันทึกครั้งแรกในคริสต์ทศวรรษ 1490 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชื่อจะแปลกๆ อย่าง ‘โรคฝรั่งเศส’ ‘โรคเนเปิลส์’ ‘โรคโปแลนด์’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘นักเลียนแบบตัวยง’ เพราะซิฟิลิสมีอาการคล้ายโรคติดชื้ออื่นๆ และอาการในระยะแรกเราอาจถูกมองข้ามได้ง่ายๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงได้ 

ในเดือนมกราคม ปี 2024 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) รายงานว่า จำนวนผู้ป่วยซิฟิลิสถึงระดับสูงสุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยมีรายงานผู้ป่วยซิฟิลิสมากกว่า 203,500 รายในสหรัฐฯ ในปี 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกือบ 2 เท่า จากปี 2018  

ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 17% ระหว่างปี 2021 ถึง 2022 และเพิ่มขึ้น 32% ระหว่างปี 2020 ถึง 2021 สู่จำนวนรายงานอุบัติการณ์สูงสุดในรอบ 70 ปี CDC เตือนว่า โรคระบาดดังกล่าวยังไม่แสดงสัญญาณของการชะลอตัว และได้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มใหม่ที่น่าตกใจ ที่ผลักดันให้เกิดโรคนี้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน 

กรณีของซิฟิลิสแต่กำเนิด ซึ่งแม่แพร่เชื้อไปยังลูกในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังจากติดเชื้อจากคู่ครอง ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ โดยมีผู้ป่วย 3,755 รายในสหรัฐฯ ในปี 2022 เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 2021 และมากกว่า 2 เท่าของ จำนวนผู้ป่วยในปี 2018 โรคนี้สามารถทำให้เสียชีวิตในครรภ์ ทารกเสียชีวิต และปัญหาสุขภาพตลอดชีวิต ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนรู้สึกท้อแท้

“เมื่อ 15 หรือ 20 ปีที่แล้ว เราคิดว่าเราใกล้จะกำจัดโรคซิฟิลิสได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อัตราการติดเชื้อซิฟิลิสจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอัตราที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา” ลีอันโดร เมนา ผู้อำนวยการแผนกป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของ CDC กล่าว  

และไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแค่สหรัฐฯ มีผู้ป่วยซิฟิลิสรายใหม่ 7.1 ล้านรายทั่วโลกในปี 2020 ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก

ในปี 2022 สหราชอาณาจักรพบผู้ป่วยซิฟิลิสถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1948 การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพทางเพศที่ทำงานในแนวหน้าคุ้นเคยกันดี 

“ตอนที่ฉันเริ่มการพยาบาลด้านสุขภาพทางเพศครั้งแรกในปี 2005 ซึ่งค่อนข้างหายากที่จะรู้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อซิฟิลิสระยะแรก แม้แต่ในคลินิกใจกลางเมือง” โจดี ครอสแมน ประธานร่วมของมูลนิธิ STI ในสหราชอาณาจักร กล่าวโดยเสริมว่า อัตราซิฟิลิสเพิ่มขึ้น 8.4% ระหว่าง 2020 และ 2021 ซึ่งในขณะนี้ คลินิกในเมืองส่วนใหญ่จะพบผู้ป่วยอย่างน้อย 2 หรือ 3 รายต่อวันที่มาเข้ารับการรักษา 

การติดเชื้อเกิดจากแบคทีเรียที่เรียกว่า ‘Treponema pallidum’ และอาการจะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะแรกสุดมีลักษณะเป็นอาการเจ็บ (แต่ไม่เจ็บปวด) บริเวณที่สัมผัสหรือมีผื่น การให้เพนิซิลินเข้ากล้ามเนื้อถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาโรคติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม ซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดโรคทางระบบประสาทและหลอดเลือดหัวใจในระยะยาวได้ 

ไอแซค โบโกช แพทย์ด้านโรคติดเชื้อและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต เฝ้าดูการแพร่ระบาดในสหรัฐฯ จากข้ามพรมแดนในแคนาดา โดยบอกว่า นี่เป็นเทรนด์ที่เห็นได้ในหลายประเทศทั่วโลก เป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะโดยทั่วไปแล้ว โรคซิฟิลิสนั้นรักษาได้ง่ายมากและการรักษาก็มีอยู่ทั่วไป ดังนั้น หลายๆ อย่างนี้จึงสะท้อนถึงความล่มสลายของระบบสาธารณสุข 

ในแคนาดามีการติดเชื้อซิฟิลิสเพิ่มขึ้น 389% ซึ่งสูงกว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญระหว่างปี 2011 ถึง 2019

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา กรณีของโรคซิฟิลิสส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเกย์ ไบเซ็กชวล และชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม บางส่วนของโลกก็พบว่าจำนวนผู้ป่วยโรคซิฟิลิสในผู้ชายลดลง และอัตราการติดเชื้อซิฟิลิสของผู้ชายในแคนาดาลดลง  

แต่ในขณะเดียวกัน อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้หญิงไม่ใช่แค่ในแคนาดาแต่เป็นทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้อัตราโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดสูงขึ้นในหลายส่วนของโลก ทั่วทั้งทวีปอเมริกา มีกรณีการแพร่เชื้อซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกถึง 30,000 รายในปี 2021 ซึ่งเป็นตัวเลขที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอธิบายว่า ‘สูงอย่างไม่อาจยอมรับได้’ 

การแพร่เชื้อซิฟิลิสระหว่างตั้งครรภ์ไปยังทารกในครรภ์อาจส่งผลร้ายแรง เช่น การแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย และการเสียชีวิตของทารกหลังคลอดไม่นาน 

ในสหรัฐฯ อัตราโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดกำลังเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 3.5 เท่าในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2016 และเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2021 ส่งผลให้มีการคลอดบุตรและการเสียชีวิตของทารก 220 ราย และตัวเลขระดับชาติดูเหมือนจะถูกปกปิดการเพิ่มขึ้นในบางส่วนของประเทศ แพทย์ในรัฐมิสซิสซิปปีรายงานว่า ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสแต่กำเนิดพุ่งสูงขึ้น 900% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขสูงสุดพบได้ในผู้หญิงผิวดำและหญิงฮิสแปนิก (ผู้ที่มีถิ่นฐานมาจากเม็กซิโก)  

“นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เสมอภาคและการเหยียดเชื้อชาติที่เรายังคงมีอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและการแพทย์ของเรา” มาเรีย ซุนดาราม รองนักวิทยาศาสตร์การวิจัยจากสถาบันวิจัยคลินิกมาร์ชฟิลด์ในรัฐวิสคอนซินกล่าว

กลุ่มผู้หญิงที่อ่อนแอที่สุด เช่น ผู้ที่สูญเสียบ้านหรือต้องดิ้นรนกับการติดเสพติด ก็เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากโรคนี้เช่นกัน และความไม่เท่าเทียมหลายประการเหล่านี้รุนแรงขึ้นจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลก

ซุนดารามกล่าวว่า ความเห็นพ้องต้องกันในชุมชนสาธารณสุขก็คือ การเพิ่มขึ้นของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงซิฟิลิส น่าจะเกี่ยวข้องกับการหยุดชะงักของทรัพยากรในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในระหว่างการระบาดใหญ่ที่อาจผลักดันปัญหานี้ ซึ่งได้แก่ การเข้าถึงสถานที่ทดสอบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตีตราเกี่ยวกับโรคซิฟิลิสอย่างต่อเนื่อง และอุปสรรคด้านภาษาที่อาจเกิดขึ้น  

การศึกษาชิ้นหนึ่งในบราซิลพบความเชื่อมโยงระหว่างผู้หญิงผิวดำที่มีระดับการศึกษาต่ำและอัตราซิฟิลิสที่มีมาแต่กำเนิดสูงกว่า ในหลายกรณี ผู้หญิงประสบปัญหาในการเข้าถึงการดูแลก่อนคลอดที่เหมาะสมซึ่งจะจัดให้มีการตรวจคัดกรองซิฟิลิส 

การศึกษาอื่นๆ ระบุว่า ในปี 2018 มีผู้ป่วยซิฟิลิสแต่กำเนิดถึง 17% แม้จะคิดเป็นเพียง 2.3% ของประชากรทั้งหมดของรัฐก็ตาม สิ่งนี้ระบุบทบาทของสถานะการเข้าเมือง สถานะการประกันสุขภาพ และความรุนแรงทางเพศหรือในครอบครัวในสตรีตั้งครรภ์ที่ต้องการการดูแลก่อนคลอด โดยครึ่งหนึ่งของหญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดที่ถูกสัมภาษณ์ มีเชื้อสายฮิสแปนิก ลาติน หรือสเปน

การศึกษาโรคซิฟิลิสในออสเตรเลียในปี 2020 พบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นเกือบ 90% จากอัตราที่บันทึกไว้ในปี 2015 มีการระบุผู้ป่วยซิฟิลิสประมาณ 4,000 รายในชุมชนชาวอะบอริจิน และชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส ซึ่งคิดเป็นเพียง 3.8% ของประชากรออสเตรเลียทั้งหมด ขณะที่แผนการตอบสนองการทดสอบและการรักษาระดับชาติเข้ามามีบทบาทเพื่อรักษาเสถียรภาพของโรคระบาด ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การลดระดับของตัวเลขก่อนการระบาดต้องใช้การทดสอบทั่วทั้งชุมชนในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกับสตรีมีครรภ์ในการเข้าถึงการตรวจคัดกรองซิฟิลิสก่อนคลอดในบางพื้นที่ของประเทศ 

แต่ในขณะที่วิกฤตค่าครองชีพและการแพร่ระบาดส่งผลกระทบต่อทรัพยากรด้านสาธารณสุข พฤติกรรมและทัศนคติของมนุษย์ต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน 

“ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เมื่อมีการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัสสำหรับ HIV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การติดเชื้อ HIV ถือเป็นโรคเรื้อรัง ความเสี่ยงของการติดเชื้อไม่ได้จูงใจให้ผู้คนสวมถุงยางอนามัย หรือนำการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาใช้อีกต่อไป” เมนากล่าว 

การเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติทางเพศเป็นสิ่งที่นักวิจัยในญี่ปุ่นกำลังศึกษาโดยพิจารณาความเชื่อมโยงระหว่าง ‘แอปหาคู่’ และกรณีของโรคซิฟิลิส พวกเขาสรุปว่าการใช้แอปหาคู่เกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับอุบัติการณ์ของซิฟิลิส ซึ่งเชื่อมโยงการใช้แอปฯ กับอุบัติการณ์ที่สูงขึ้นของการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่มีการป้องกัน

นี่คือสิ่งที่ ซาซากิ ชิวาวะ ผู้เขียนเกี่ยวกับวัฒนธรรมเยาวชนญี่ปุ่นและงานบริการทางเพศ พบในการสนทนาของเธอกับผู้ขายบริการทางเพศ โดยเธอกล่าวว่า ผู้ค้าบริการทางเพศจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งหากพวกเขาติดเชื้อ พวกเขามักจะมองว่ามันเป็น ‘โชคร้าย’ และส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้มากกว่าป้องกันความเสี่ยง

สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขส่วนใหญ่ เส้นทางในการจัดการกับโรคซิฟิลิสนั้นชัดเจน เรามียาเพื่อต่อสู้กับมันอยู่แล้ว เนื่องจากเพนิซิลินยังคงเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แม้ว่าอัตราการดื้อยาปฏิชีวนะจะเพิ่มขึ้นก็ตาม การทดสอบที่มากขึ้น การเข้าถึงที่ดียิ่งขึ้นเพื่อตอบโต้การตีตราที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ควบคู่ไปกับการตระหนักรู้ของสาธารณชนที่มากขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเพศที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ล้วนมีบทบาทที่ใหญ่กว่ามาก 

“เราเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการวินิจฉัยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ควรอับอายมากไปกว่าการเป็นหวัด” ครอสแมนกล่าวพร้อมเสริมว่า เรากำลังพยายามเปลี่ยนการทดสอบหาเชื้อ จากสิ่งที่น่ากลัวไปเป็นสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาวะทางเพศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการมีชีวิตทางเพศที่ปลอดภัยและสนุกสนาน 

แต่จนถึงขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถบรรลุทฤษฎีเดียวได้ว่าทำไมซิฟิลิสจึงเพิ่มขึ้นเร็วกว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ อีกทั้งการดื้อยาปฏิชีวนะยังไม่แพร่หลายเพียงพอที่จะอธิบายการเพิ่มขึ้นได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์