เลือกตั้งไต้หวันครั้งนี้มีผลกระทบต่อโลก…
การเมืองโลก ณ เวลานี้คงไม่มีอะไรร้อนแรงไปกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันในวันที่ 13 มกราคมนี้อีกแล้ว ทุกสายตาต่างจับจ้องถึงการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่าประชากรราว 24 ล้านคนจะให้โอกาสแคนดิเดตคนไหนก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้
ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี คนคนนั้นจะเป็นผู้กำหนดความสัมพันธ์กับทั้งจีนและสหรัฐฯ ที่กำลังมีประเด็นร้อนเรื่องอธิปไตยของไต้หวันอยู่ และยังจะส่งผลกระทบที่สำคัญต่อประเทศเพื่อนบ้านของดินแดนแห่งนี้ เช่นเดียวกับพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นที่มีประเด็นกับจีนในทะเลจีนใต้
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการเลือกตั้งไต้หวันครั้งนี้ถึงมีความสำคัญต่อมหาอำนาจทั้ง 2 ที่อาจกระทบต่อการกำหนดนโยบายและการใช้อำนาจ
ผลการเลือกตั้งมีผลต่อทิศทางนโยบายของ ‘จีน’

จีนเป็นหนึ่งในความกังวลอันดับต้นๆ สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ เนื่องจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีน (People's Liberation Army) ได้เพิ่มแรงกดดันต่อไต้หวันเมื่อช่วงปีที่ผ่านมาด้วยจำนวนการรุกรานสูงสุดเป็นประวัติการณ์
จีนอ้างสิทธิ์เหนือไต้หวันมานานแล้ว แต่ความสัมพันธ์กลับแย่ลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ภายใต้การนำของประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ของเธอ โดยจีนกล่าวว่าเป็นเพราะไต้หวันปฏิเสธที่จะยอมรับ ‘หลักการจีนเดียว’ (One China) ซึ่งเป็นนโยบายที่ยืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้และต้องกลับมารวมกับจีนในสักวันหนึ่ง
ทว่าสิ่งต่างๆ เลวร้ายลงในปี 2022 เมื่อ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ ไปเยือนไทเป ซึ่งสร้างความเดือดดาลให้กับจีนอย่างมากถึงขนาดที่มีการซ้อมรบในช่องแคบไต้หวัน ซึ่งคล้ายกับการปิดล้อมดินแดนแห่งนี้ และตลอดปี 2023 ทั้งสหรัฐฯ และจีนก็ไม่วายผลัดกันซ้อมรบเฉียดกันไปมาบริเวณน่านน้ำไต้หวัน แม้ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2023 จะมีการพบปะพูดคุยถึงประเด็นไต้หวันระหว่างไบเดนและสีแต่สถานการณ์ก็ยังคงดูตึงเครียดอยู่
ในช่วงเวลานี้ สหรัฐฯ ออกโรงสนับสนุนเอกราชของไต้หวันอย่างเต็มกำลังด้วยการจัดหาอาวุธใหม่มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์มาเสริมให้กองกำลังไต้หวัน
อย่างไรก็ดี รองประธานาธิบดีวิลเลียม ไล่ ชิงเต๋อ จากพรรค DPP ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ ไม่เป็นที่ชื่นชอบสำหรับจีนมากนัก เพราะเขาสนับสนุนเอกราชของไต้หวัน แม้จะบอกว่า ‘คาดหวังการเป็นเพื่อนกับจีนก็ตาม’ หาก DPP ชนะติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จีนอาจจะเพิ่มแรงกดดันทางทหารในช่องแคบไต้หวันได้ นอกจากนี้ยังอาจตัดสายอินเทอร์เน็ตอีกด้วย
ขณะเดียวกันสีและหวังอี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนก็ออกมาเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ‘กองทัพจีนเตรียมพร้อมที่จะเข้ายึดไต้หวันหากจำเป็น’ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า ‘โอกาสที่จะเกิดสงครามเต็มรูปแบบยังมีน้อย อย่างน้อยก็ในตอนนี้’ เมื่อพิจารณาว่าจีนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไรท่ามกลางเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังชะลอตัว
สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนไต้หวัน…

การยกระดับใดๆ ระหว่างจีนและไต้หวันมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าและอันตรายมากขึ้น กล่าวคือ สหรัฐฯ มีกองทัพเรือจำนวนมากในภูมิภาคนี้ และมีฐานทัพจากออสเตรเลียทางตอนใต้ไปจนถึงญี่ปุ่นทางตอนเหนือ
ส่วนสหรัฐฯ ก็ยังไม่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าการสนับสนุนจะเกิดขึ้นในรูปแบบใดหากว่าจีนโจมตีไต้หวัน และไม่ชัดเจนว่าญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รวมกองทหารสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จะสู้รบด้วยตัวเองหรือไม่
สหรัฐฯ กล่าวว่า
“ชัยชนะของฝ่ายค้านอย่างก๊กมินตั๋ง (KMT) อาจทำให้จีนมีอิทธิพลเหนือไต้หวันมากขึ้น” แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า “การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของไล่ก็ทำให้สหรัฐฯ กังวลเช่นกัน”
กระทบเศรษฐกิจโลก!
การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันถือเป็นจุดศูนย์กลางของการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่ว่า KMT หรือ DPP จะได้รับชัยชนะ ผลกระทบดังกล่าวก็จะส่งผลต่อความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของไต้หวัน ซึ่งมีสหรัฐฯ และจีนเป็นตัวเดินเกมสำคัญ ในท้ายที่สุดแล้ว การเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้กุมบังเหียนของไต้หวันเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการที่ดุลอำนาจที่เปลี่ยนแปลงไปจะกำหนดอนาคตของระเบียบระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างไรด้วย
ถ้า KMT ที่สนับสนุนจีนเดียวได้รับชัยชนะ ความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบก็น่าจะมีเสถียรภาพ ซึ่งการรักษาเสถียรภาพนี้จะช่วยบรรเทาภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางทหาร ชัยชนะของ KMT จะถูกมองว่าเป็นชัยชนะของจีน ซึ่งอาจปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับไต้หวันมากขึ้น
แต่ถ้า DPP ชนะ จีนอาจเพิ่มแรงกดดันทางทหารซึ่งหากมันเกิดขึ้น สงครามในไต้หวันจะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ทั้งต่อความเสียหายของมนุษย์และความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยของไต้หวัน รวมถึงทำลายเศรษฐกิจโลกด้วย เนื่องจากเรือคอนเทนเนอร์เกือบครึ่งหนึ่งของโลกแล่นผ่านช่องแคบไต้หวันทุกปีจึงทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ
นอกจากนี้ ไต้หวันยังผลิตเซมิคอนดักเตอร์ส่วนใหญ่ที่ขับเคลื่อนชีวิตสมัยใหม่ ตั้งแต่รถยนต์ ตู้เย็น ไปจนถึงโทรศัพท์ การหยุดชะงักใดๆ ก็ตามจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกเป็นอัมพาต ธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยง อีกทั้งการคว่ำบาตรจีนมีแต่จะยิ่งทำให้ความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกรุนแรงขึ้นเท่านั้น
ตามการประมาณการหลายครั้ง การหยุดชะงักทางการค้าของจีนจะส่งผลให้การค้าโลกมีมูลค่าเพิ่มลดลง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของโลก
การแก้ไขความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน แต่ยังเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดด้วย ถือเป็นวาระสำคัญสำหรับใครก็ตามที่ปกครองดินแดนแห่งนี้
นักวิเคราะห์คาดว่ารัฐบาลจะถูกแบ่งแยก โดยที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะถูกควบคุมโดยพรรคอื่นๆ แม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดปัญหาทางการเมือง แต่บางคนก็คาดว่า DPP ที่มีประสบการณ์มากกว่าและ KMT ที่มีอำนาจน้อยกว่าจะสามารถสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาสันติภาพกับจีน