ท่ามกลางภาวะขาลงของเศรษฐกิจโลกแบบนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทรัพย์สินของเหล่ามหาเศรษฐีโลกทั้งหลายต้องได้รับผลกระทบบ้าง และนี่อาจเป็นเหตุผลให้เหล่ามหาเศรษฐีโลก 12 คน ออกมาเตือนว่าโลกกำลังเผชิญภาวะถดถอย โดยหนึ่งในนั้นรวมถึง เจฟฟ์ เบโซส ที่เตือนบรรดานักลงทุนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเสี่ยงถดถอยในไม่ช้านี้ หมดเวลาทำเป็นใจเย็น และองค์กรธุรกิจควรเตรียมรับมือวิกฤตได้แล้ว
เบโซสเจ้าของบริษัทแอมะซอน อีลอน มัสก์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เทสลา และเคน กริฟฟิน ซีอีโอบริษัทซิทาเดล แอลแอลซี ต่างออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า เช่นเดียวกับบรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นักลงทุน และสถาบันวิชาการต่างๆ ที่พร้อมใจกันคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะขาลงทางเศรษฐกิจที่อาจจะยืดเยื้อ
นอกจากนี้ยังมี คาร์ล ไอคาห์น นักการเงินผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทไอคาห์น เอนเตอร์ไพรเซส เจมี ไดมอน ซีอีโอธนาคารเจพีมอร์แกน เชส และชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธะเวย์ ต่างก็คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวและอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยลบหลากหลายด้าน รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อชะลอเงินเฟ้อ สงครามในยูเครน และการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นโควิด-19 ของจีน ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก
ข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ระบุว่า ความมั่งคั่งสุทธิของมัสก์ ลดลง 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเขาในปีนี้ลดลงรวมแล้ว 1.005 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 3.40 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม มัสก์ ยังคงอยู่ในสถานะบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaires Index โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวม 171,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ความมั่งคั่งของมัสก์ลดลง มาจากราคาหุ้นเทสลาที่ร่วงลงรุนแรงถึง 6.8% แตะระดับ 167.87 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันจันทร์ (21 พ.ย.) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี อันเนื่องมาจากข่าวการเรียกคืนรถยนต์จำนวน 321,000 คันในสหรัฐฯ เนื่องจากพบปัญหาไฟท้าย รวมทั้งผลกระทบจากการที่จีนยังคงใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-18 โดยจีนถือเป็นตลาดนอกสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดของเทสลา
ส่วนในปีนี้ ราคาหุ้นเทสลาร่วงลงไปแล้วถึง 52% เมื่อเทียบกับดัชนี Nasdaq ที่ปรับตัวลงประมาณ 29%
ขณะที่ท็อป 5 มหาเศรษฐีโลกจากการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaires Index ประกอบด้วย อันดับสอง เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศส มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 157,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสาม กัวตัม อะดานิ นักธุรกิจชื่อดังของอินเดีย มีสินทรัพย์รวม 129,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสี่ เจฟฟ์ เบโซส เจ้าพ่อแอมะซอน ดอท คอม บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีสินทรัพย์รวม 116,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับห้า บิลล์ เกตส์ มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เบโซสเจ้าของบริษัทแอมะซอน อีลอน มัสก์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เทสลา และเคน กริฟฟิน ซีอีโอบริษัทซิทาเดล แอลแอลซี ต่างออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยในไม่ช้า เช่นเดียวกับบรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นักลงทุน และสถาบันวิชาการต่างๆ ที่พร้อมใจกันคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะขาลงทางเศรษฐกิจที่อาจจะยืดเยื้อ
นอกจากนี้ยังมี คาร์ล ไอคาห์น นักการเงินผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทไอคาห์น เอนเตอร์ไพรเซส เจมี ไดมอน ซีอีโอธนาคารเจพีมอร์แกน เชส และชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธะเวย์ ต่างก็คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะหดตัวและอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยลบหลากหลายด้าน รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อชะลอเงินเฟ้อ สงครามในยูเครน และการล็อกดาวน์เพื่อสกัดกั้นโควิด-19 ของจีน ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าโลก
ข้อมูลจาก Bloomberg Billionaires Index เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ระบุว่า ความมั่งคั่งสุทธิของมัสก์ ลดลง 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเขาในปีนี้ลดลงรวมแล้ว 1.005 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 3.40 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม มัสก์ ยังคงอยู่ในสถานะบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaires Index โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวม 171,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุที่ทำให้ความมั่งคั่งของมัสก์ลดลง มาจากราคาหุ้นเทสลาที่ร่วงลงรุนแรงถึง 6.8% แตะระดับ 167.87 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันจันทร์ (21 พ.ย.) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี อันเนื่องมาจากข่าวการเรียกคืนรถยนต์จำนวน 321,000 คันในสหรัฐฯ เนื่องจากพบปัญหาไฟท้าย รวมทั้งผลกระทบจากการที่จีนยังคงใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-18 โดยจีนถือเป็นตลาดนอกสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดของเทสลา
ส่วนในปีนี้ ราคาหุ้นเทสลาร่วงลงไปแล้วถึง 52% เมื่อเทียบกับดัชนี Nasdaq ที่ปรับตัวลงประมาณ 29%
ขณะที่ท็อป 5 มหาเศรษฐีโลกจากการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaires Index ประกอบด้วย อันดับสอง เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ มหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศส มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 157,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสาม กัวตัม อะดานิ นักธุรกิจชื่อดังของอินเดีย มีสินทรัพย์รวม 129,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสี่ เจฟฟ์ เบโซส เจ้าพ่อแอมะซอน ดอท คอม บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ มีสินทรัพย์รวม 116,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับห้า บิลล์ เกตส์ มีสินทรัพย์รวมมูลค่า 113,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับประเทศไทย ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ จากบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดขยับขึ้นเป็น 12,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่อันดับที่ 141 ส่วน ‘มาซาโยชิ ซน’ มหาเศรษฐีเบอร์ 3 ของญี่ปุ่น เจ้าของซอฟต์แบงก์ อยู่ในลำดับที่ 145 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลก
มาซาโยชิ ซน เป็นเจ้าของอาณาจักรซอฟต์แบงก์ บริษัทด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร และนักลงทุนที่มีประวัติลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีขั้นนำมากมายรวมทั้งยาฮู และอาลีบาบา มีทรัพย์สินรวม 12,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บลูมเบิร์กประเมินมูลค่าทรัพย์สินแบบเรียลไทม์ (Real-time) ซึ่งรวมถึงมูลค่าหุ้น คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นของกัลฟ์มาจากหุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวสูงขึ้นหลังซาอุดีอาระเบีย ผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโอเปกออกมาให้ข่าวว่าจะไม่มีการเพิ่มการผลิตน้ำมัน และอาจจะลดการผลิตลงเพื่อทำให้ราคาน้ำมันในตลาดสมดุล
เมื่อเวลา 10.30 น. ของวันที่ 23 พ.ย. หลังตลาดเปิดครึ่งชั่วโมง ราคาหุ้นกัลฟ์ปรับตัวขึ้น 0.98% จากราคาปิดก่อนหน้าที่ 51 บาท ไปอยู่ที่ 51.5 บาท
รายงานของบลูมเบิร์กระบุว่า เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของไทยในปัจจุบัน และอยู่ในอันดับที่ 107 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกของบลูมเบิร์ก ด้วยทรัพย์สินรวมที่มีมูลค่าทั้งสิ้น 14,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ไม่ได้ติดอันดับของ
บลูมเบิร์ก แต่ติดอันดับ 1 ของมหาเศรษฐีไทยในการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งคำนวณทรัพย์สินรวมเป็นครอบครัว
มาซาโยชิ ซน เป็นเจ้าของอาณาจักรซอฟต์แบงก์ บริษัทด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร และนักลงทุนที่มีประวัติลงทุนในบริษัทด้านเทคโนโลยีขั้นนำมากมายรวมทั้งยาฮู และอาลีบาบา มีทรัพย์สินรวม 12,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บลูมเบิร์กประเมินมูลค่าทรัพย์สินแบบเรียลไทม์ (Real-time) ซึ่งรวมถึงมูลค่าหุ้น คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นของกัลฟ์มาจากหุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวสูงขึ้นหลังซาอุดีอาระเบีย ผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโอเปกออกมาให้ข่าวว่าจะไม่มีการเพิ่มการผลิตน้ำมัน และอาจจะลดการผลิตลงเพื่อทำให้ราคาน้ำมันในตลาดสมดุล
เมื่อเวลา 10.30 น. ของวันที่ 23 พ.ย. หลังตลาดเปิดครึ่งชั่วโมง ราคาหุ้นกัลฟ์ปรับตัวขึ้น 0.98% จากราคาปิดก่อนหน้าที่ 51 บาท ไปอยู่ที่ 51.5 บาท
รายงานของบลูมเบิร์กระบุว่า เจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของไทยในปัจจุบัน และอยู่ในอันดับที่ 107 ของทำเนียบมหาเศรษฐีโลกของบลูมเบิร์ก ด้วยทรัพย์สินรวมที่มีมูลค่าทั้งสิ้น 14,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ไม่ได้ติดอันดับของ
บลูมเบิร์ก แต่ติดอันดับ 1 ของมหาเศรษฐีไทยในการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งคำนวณทรัพย์สินรวมเป็นครอบครัว