การเมืองจีน ‘ยุคใหม่’ ยังคงถูกครอบงำโดย ‘คนยุคเก่า’

9 มีนาคม 2566 - 10:19

_xi-jinping-old-faces-dominate-china-new-era-SPACEBAR-Thumbnail
  • การยกเลิกข้อจำกัดด้านอายุและวาระการดำรงตำแหน่งให้สีจิ้นผิงได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 3 ทำให้ผู้นำระดับสูงของจีนมีอายุมากขึ้น

บรรดาผู้นำของจีนมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรุ่นต่อรุ่นช้าลง 

ในโครงสร้างลำดับชั้นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของจีนซึ่งมีอยู่พรรคเดียวนั้น ผู้ปฏิบัติงานในระดับล่างที่มีแนวโน้มในอาชีพที่ดีมักจะพยายามหลีกเลี่ยงการติดอยู่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งนานเกินไปโดยไม่ได้ขยับเลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่มีความสำคัญ กฎเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่งของจีนนั้นค่อนข้างคลุมเครือและมีการแข่งขันกันสูงมาก ทว่าปัจจัยหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ข้อจำกัดด้านอายุ และเพื่อให้การไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสูงๆ ประสบความสำเร็จ เจ้าหน้าที่ระดับล่างต้งได้รับการเลื่อนขั้นให้เร็วเพียงพอ 

เพื่อให้ก้าวหน้าและมีโอกาสมากที่สุดนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งๆ จะต้องขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับมณฑล อาทิ ผู้ว่าการมณฑล ซึ่งจะเป็นการกรุยทางไปสู่ตำแหน่งระดับชาติ ให้ได้ในช่วงอายุ 50 ต้นๆ  เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารที่โดดเด่นที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับชาตินั่งตำแหน่งในในช่วงอายุเลข 4 เท่านั้น 

ข้อจำกัดเรื่องอายุบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1982 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของยุคปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน และนับตั้งแต่นั้นมาก็ถูกใช้อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดอายุเกษียณของเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลระดับสูงไว้ที่ 65 ปี ส่วนตำแหน่งรองๆ และตำแหน่งฝ่ายบริหารระดับอาวุโสกำหนดไว้ที่ 60 ปี  

ต่อมาในปี 1977 มีการกำหนดอายุใหม่สำหรับผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดระดับชาติ โดยเฉพาะโปลิตบูโรและคณะกรรมาธิการกรมการเมืองไว้ที่ไม่เกิน 67 ปี โดยการจำกัดอายุเหล่านี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากบรรดาผู้นำว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการปรับปรุงโครงสร้างพรรค ซึ่งจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงจากรุ่นต่อรุ่นเป็นไปอย่างมั่นคงและคาดการณ์ได้ 

ทว่าระหว่างการเตรียมปูทางให้สีจิ้นผิงได้นั่งเก้าอี้มากกว่า 2 สมันตามข้อกำหนดเดิมนั้น กฎระเบียบต่างๆ ที่เข้มงวดและชัดเจนกลับกลายเป็นข้อจำกัดที่ไม่สะดวก ในเดือนกันยายน 2022 ก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ครั้งที่ 20 และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เด่นชัด ข้อบังคับฉบับแก้ไขสำหรับการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานของพรรคได้ยกเลิกอายุเกษียณที่กำหนดไว้อย่างตายตัวและจำนวนวาระการดำรงตำแหน่ง 

อย่างที่ทราบกันดีว่าในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 20 นั้น ไม่เพียงแต่ยกเลิกข้อจำกัดห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย และกฎห้ามการแต่งตั้งผู้นำประเทศที่อายุเกิน 68 ปีสำหรับสีจิ้นผิงเท่านั้น แต่คณะโปลิตบูโรที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ยังมีสมาชิกอีก 2 คนที่อายุพ้นวัยเกษียณแล้วด้วย 

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงการแต่งตั้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ก็ไม่ต่างกันมากนักในแง่ของการปฏิบัติที่ผ่านๆ มาเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านอายุและวาระการดำรงตำแหน่ง จะต่างอยู่อย่างเดียวคือ กฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้บังคับใช้อย่างเข้มงวดอีกต่อไป ดังนั้นจึงเกิดช่องว่างสำหรับข้อยกเว้นทุกประเภทและส่งผลให้เส้นทางการเลื่อนตำแหน่งยิ่งคลุมเครือและไม่แน่นอนขึ้นไปอีก  

ความกำกวมเกี่ยวกับข้อจำกัดด้านอายุยังเกิดขึ้นกับผู้นำในระดับมณฑลด้วย ดูเหมือนว่าข้อจำกัดด้านอายุและวาระการดำรงตำแหน่งยังคงถูกบังคับใช้อยู่ และการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลครั้งล่าสุดก็ยืนยันเช่นนั้น โดยครึ่งหนึ่งของเลขาธิการพรรคในระดับมณฑลถูกเปลี่ยนหลังการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 20 และในบรรดาตำแหน่งระดับมณฑล รวมทั้งผู้ว่าการมณฑล ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดที่ได้รับการแต่งตั้งก่อนปี 2020  

ทว่าในบรรดาผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่นั้น หวงคุนหมิง เลขาธิการพรรคคนใหม่ของมณฑลกวางตุ้งที่ติดตามสีจิ้นผิงมายาวนาน ได้รับการแต่งตั้งขณะอายุเกือบ 66 ปี ซึ่งเป็นอายุที่เหมาะจะเกษียณอายุสำหรับตำแหน่ระดับนี้แล้ว ยังไม่นับว่าขณะนี้เขานั่งเก้าอี้โปลิตบูโรเป็นสมัยที่ 2 แล้ว 

สีจิ้นผิงไม่เพียงแต่ได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดของจีนเป็นสมัยที่ 3 ซึ่งนับเป็นข้อยกเว้นเท่านั้น แต่การที่สีจิ้นผิงไม่บอกใบ้ถึงผู้สืบทอดตำแหน่งใดๆ ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเขาจะครองตำแหน่งนานกว่านี้อีกด้วย ด้วยวิธีนี้ สีจิ้นผิงยังขจัดความจำเป็นในการมองหาผู้สืบทอดตำแหน่งและเตรียมพร้อมให้กับผู้ที่เหมาะสมด้วย ตรงกันข้ามกับความพยายามก่อนหน้านี้ที่จะเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการเปลี่ยนแปลงผู้นำ บัดนี้การมองหาผู้ที่จะมาทดแทนนั้นไม่เพียงไม่จำเป็น แต่ยังไม่เป็นที่พึงปรารถนาอีกด้วย เพราะสีจิ้นผิงน่าจะต้องการเลี่ยงการสร้างผู้ท้าชิง 

ไม่มีดาวรุ่งอีกต่อไป 

เมื่อตำแหน่งสูงสุดไม่ว่างให้แย่งชิงกันแล้ว ไดนามิกของการสับเปลี่ยนตำแหน่งในระดับสูงสุดจะเปลี่ยนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในอดีตการเตรียมพร้อมให้ว่าที่ผู้นำคนใหม่หมายถึงการเลื่อนขั้นให้กับผู้ที่มีศักยภาพแบบฟาสต์แทร็ก ซึ่งต้องไต่ขึ้นมาถึงระดับมณฑลในช่วงอายุเลข 4 โปลิตบูโรในช่วงปลาย 40 หรือต้น 50 และตำแหน่งคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างน้อยในช่วงปลาย 50  

ผู้นำในอนาคตมักจะถูกเลือกจากคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อให้แนวทางปฏิบัติของผู้นำจีนต่อเนื่อง และธรรมเนียมการให้ผู้นำอยู่ในวาระ 2 สมัย สมัยละ 5 ปีนั้นหมายความว่าตอนเริ่มต้นสมัยที่ 2 เขาคนนั้นต้องอายุไม่เกิน 68 ปี และเพื่อให้มีคุณสมบัติตามนี้ คนที่จะมาเป็นผู้นำคนใหม่ต้องได้นั่งเก้าอี้คณะกรรมการถาวรขณะอายุ 58ปีหรือน้อยกว่านั้น เพื่อใช้เวลาในสมัยแรกเรียนรู้การทำงานก่อนจะขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดเมื่ออายุ 63 ปี  

เราสามารถแยกผู้ที่จะได้ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารคนอื่นๆ ได้ง่าย เพราะเขาคนนั้นจะได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว และอาจตกเป็นเป้าของคนที่ต้องการชิงตำแหน่งคนอื่นๆ ทว่าในกรณีของป๋อซีไหลบ่งบอกว่าการลุกขึ้นต่อต้านผู้ที่จะได้ชิงเก้าอี้ผู้นำที่เหนือกว่าถือเป็นงานที่น่ากลัวมาก (ป๋อซีไหลไม่ได้เป็นคณะกรรมการถาวร แต่สีจิ้นผิงเป็น) จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือความเปราะบางของการต่อสู้ของกลุ่มก้อนของตัวเอง เนื่องจากตำแหน่งของเขาจะได้รับมาก็ต่อเมื่อเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้บังคับบัญชาที่ทรงอำนาจ 

ใน ‘ยุคใหม่’ ภายใต้การปกครองของสีจิ้นผิง ตัวอย่างของการถูกดองอันเนื่องมาจากการแบ่งมุ้งภายในพรรคที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ หูชุนฮัว ที่อยู่มุ้งเดียวกับ หลี่เค่อเฉียง ในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 20 หูถูกถอดออกจากโปลิตบูโร (ที่เขาเป็นสมาชิกมาตั้งแต่ปี 2012) ในวัยเพียง 59 ปีเท่านั้น 

เส้นทางการเมืองของหูชุนฮัวจนถึงปี 2017 ดูเหมือนจะถูกปูทางมาเพื่อตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีน ในวัย 44 เขาได้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการกลางในปี 2007 วัย 45 ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเหอเป่ย วัย 46 ขยับขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคประจำมองโกเลียใน และในปี 2012 ขณะอายุ 49 ปี หูชุนฮัวได้รับการเลื่อนขั้นเปฌนโปลิตบูโร และในปีเดียวกันยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคประจำกวางตุ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในตำแหน่งสำคัญระดับมณฑล 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/61uDX0JmhQ4M6no26Kxik3/4722c388389620bdf1a21a2308d2b2aa/_xi-jinping-old-faces-dominate-china-new-era-SPACEBAR-Photo01
Photo: นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง (ขวา) กับสีจิ้นผิง (NOEL CELIS / AFP)
ทว่าภายใต้การปกครองของสีจิ้นผิง ความสัมพันธ์ของหูชุนฮัวกับหูจิ่นเทาและหลี่เค่อเฉียงกลับกลายเป็นภาระ แม้ว่าหูชุนฮัวจะได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีในปี 2018 สัญญาณแบบเนียนๆ ของการถูกดองเกิดขึ้นเมื่อหูชุนฮัวไม่ได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นคณะกรรมการถาวรในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 19 โอกาสสุดท้ายหลุดลอยไปเมื่อเขาถูกลดตำแหน่งลงจากโปลิตบูโร 

คนของสีจิ้นผิงเองก็ไม่มีทางไป 

อย่าว่าแต่ดาวรุ่งจากมุ้งการเมืองอื่นเลย ในยุคของสีจิ้นผิงแม้แต่คนจากภายในกลุ่มที่สนับสนุนสีจิ้นผิงเองก็ถูกสกัดดาวรุ่งเช่นกัน สมาชิกที่อายุน้อยกว่าไม่ค่อยได้รับการเลื่อนขั้นรวดเร็วเช่นแต่ก่อนแล้ว 

กรณีของ เฉินหมินเอ่อ เป็นตัวอย่างที่ดีในกรณีนี้ การทำงานภายใต้สีจิ้นผิงในมณฑลเจ้อเจียงทำให้เส้นทางการเมืองในระดับชาติของเขาเริ่มช้า ปี 2012 เขาได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการกลางเต็มรูปแบบในวัย 52 ตามด้วยตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลกุ้ยโจว หลังจากนั้น 2 ปีได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประจำกุ้ยโจวขณะอายุ 54 ปี จากนั้นก่อนการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 19 ในปี 2017 ได้เป็นเลขาธิการพรรคประจำมณฑลฉงชิ่ง (แทนที่ซุนเจิ้งไคที่ถูกลดตำแหน่ง) ซึ่งตำแหน่งนี้เชื่อมโยงกับเก้าอี้โปลิตบูโรซึ่งมอบให้เฉินหมินเอ่อในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 19 ขณะนั้นเฉินหมินเอ่ออายุ 57 ปีซึ่งไม่น้อยหากเทียบกับมาตรฐานก่อนหน้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าเป็นหนุ่งในคนที่อายุน้อยที่สุดในมุ้งของสีจิ้นผิง 

ทว่า ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งที่ 20 เมื่อปี 2022 เฉินหมินเอ่อไม่ได้รับการเลื่อนขั้นใดๆ ที่สำคัญเลย ไม่ได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการถาวร แต่กลับถูกเปลี่ยนจากเลขาธิการพรรคประจำนครฉงชิ่งไปอยู่ที่นครเทียนจินแทนในวัย 62 ปี ด้วยวิธีนี้เฉินหมินเอ่อยังคงเป็นทระพย์สินที่มีค่าในมุ้งของสีจิ้นผิงอยู่ แต่ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากอายุของเขา เฉินหมินเอ่อไม่ใช่แคนดิเดตที่จะได้นั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดแล้ว
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5uHv6PWWDcrSZlvLCNA6cU/2f170d8771d4706914ec4f9a47b69283/_xi-jinping-old-faces-dominate-china-new-era-SPACEBAR-Photo02
Photo: Noel CELIS / AFP
หลี่เฉียง อีกหนึ่งคนที่อยู่ในมุ้งเดียวกับสีจิ้นผิง และกำลังจะได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการประชุมสองสภาในสัปดาห์หน้า อายุมากกว่าเฉินหมินเอ่อเพียง 1 ปี  ทั้งสองคนนี้ได้รับการเลื่อนขั้นด้วยระยะเวลาใกล้เคียงกัน โดยหลี่เฉียงเป็นผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียงในปี 2012 และเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจียงซูในปี 2016 ตามมาด้วยสมาชิกคณะกรรมการกลางเต็มรูปแบบในปี 2017 ในเวลาเดียวกันก็ได้นั่งเก้าอี้โปลิตบูโรและเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้ด้วยในวัย 58 ปี จากนั้นในปี 2022 เลื่อนขั้นเป็นคณะกรรมการถาวร และหัวหน้ามนตรีแห่งรัฐ 

ด้วยความจงรักภักดีต่อสีจิ้นผิงเสมอมา ในที่สุดหลี่เฉียงก็ได้รับตำแหน่งสูงสุดอันดับสองของจีน แต่ได้รับในวัยที่อายุมากเกินที่จะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากสีจิ้นผิงแล้ว นอกจากนี้ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคครั้งต่อไปหลี่เฉียงจะอายุ 68 ปี และนั่นจะทำให้การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปอาจจะเป็นใครก็ได้ และหากหลี่เฉียงต้องการนั่งเก้าอี้ต่อเป็นสมัยที่ 2 เขาจำเป็นต้องได้รับการหนุนหลังที่แข็งแกร่งจากสีจิ้นผิง 

นักการเมืองระดับสูงของจีนอายุมาก 

ความลังเลที่ชัดเจนของสีจิ้นผิงที่จะสนับสนุนการเลื่อนขั้นแบบฟาสต์แทร็กแม้แต่ให้คนใกล้ชิดของตัวเองเป็นที่เข้าใจได้เมื่อพิจารณาถึงความปรารถนาในการขยายวาระการดำรงตำแหน่งให้นานๆ สีจิ้นผิงตั้งใจสกัดกั้นไม่ให้มีคู่แข่งที่จะก้าวเข้ามาชิงอำนาจของตัวเอง  

ด้วยเหตุนี้จึงมีแนวโน้มว่า การเสนอชื่อแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ระดับมณฑลและระดับชาติจะให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่ที่มีอายุมาก ส่งผลให้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่อายุน้อยๆ ซึ่งแตกต่างจากแนวปฏิบัติก่อนหน้านี้ที่มุ่งเน้นไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับคนที่จะมาสืบทอดอำนาจต่อ 

การเปรียบเทียบอายุของคณะกรรมการกลางจาก 3 วาระหลังสุดจะเห็นได้อย่างชัดเจน การประชุมคณะกรรมการกลางครั้งที่ 18 ซึ่งตั้งขึ้นในช่วงต้นยุคของสีจิ้นผิงในปี 2012 เป็นชุดที่ได้รับอิทธิพลจากสสีจิ้นผิงน้อยที่สุด ส่วนการประชุมครั้งที่ 19 และ 20 (ตั้งในปี 2017 และ 2022 ตามลำดับ) ไม่มีสมาชิกที่อยู่ในวัยเลข 4 ขณะที่ในปี 2012 สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดอายุ 45 ปี และมีอีก 3 คนที่อยู่ในวัยเลข 4 เช่นกัน ปี 2017 คณะกรรมการกลางที่อายุน้อยที่สุดคือ 50 ปี และมีสมาชิก 17 คนที่อายุน้อยกว่า 55 ปี ขณะที่ปี 2022 อายุน้อยที่สุดอยู่ที่ 53 ปี และมีเพียง 4 คนเท่านั้นที่อายุน้อยกว่า 55  

นอกจากนี้ การจำกัดอายุไว้ที่ไม่เกิน 67 ปีถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัดก่อนปี 2022 ซึ่งมีการยกเว้นให้เฉพาะสมาชิกโปลิตบูโรเพียง 3 คน รวมทั้งสีจิ้นผิงด้วย คณะกรรมการกลางชุดปัจจุบันมีสมาชิกอาวุโสสูงสุดที่มีอายุระหว่าง 65-67 ปีมากที่สุด ขณะที่สมาชิกคณะกรรมการกลางจำนวนมากในวัยเลข 6 ที่ได้รับเลือกในปี 2017 ส่งผลให้มีผู้เกษียณอายุจำนวนมากในปีที่แล้ว ช่วยให้มีการกระจายที่สมดุลมากขึ้นระหว่างสองกลุ่มอายุหลักในช่วงปลาย 50 และต้น 60 ในคณะกรรมการกลางชุดปัจจุบัน 

ผลที่ตามมาทางการเมือง 

การเสนอชื่อเจ้าหน้าที่ที่มีอายุมากสำหรับตำแหน่งผู้นำระดับมณฑลและส่วนกลางดูเหมือนจะเหมาะสมกับความตั้งใจของสีจิ้นผิงที่จะละทิ้งธรรมเนียมการเตรียมพร้อมให้ผู้สืบทอดตำแหน่ง ทำให้สีจิ้นผิงไร้ผู้ท้าชิง 

การประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต่อเส้นทางอาชีพและแรงจูงใจของเจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยกว่าเป็นเรื่องยาก โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะต้องปรับเปลี่ยนแผนและความต้องการให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ 

เมื่อผู้นำระดับสูงอายุมากขึ้น และโอกาสในการใช้อำนาจในระยะยาวที่ไม่แน่นอน การขาดผู้ที่จะมาแทนที่ที่ชัดเจนทำให้สถานการณ์ทั้งหมดไม่มั่นคงและชี้ให้เห็นถึงความวุ่นวายของการเปลี่ยนถ่ายอำนาจเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น 

ทว่าในองค์กรที่มั่งคั่งและยิ่งใหญ่อย่างพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน ย่อมต้องมีแคนดิเดตที่มีคุณสมบัติและศักยภาพเพียงพอที่จะรับไม้ต่อเสมอ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์