สมัยก่อนมีคำกล่าวที่ว่า "มีลูกหนึ่งคน จนไปอีก 10 ปี" แต่ปัจจุบันประโยคนี้เปลี่ยนไป "มีลูกหนึ่งคน (อาจ) จนไปจนลูกเรียนจบ" อย่างไรก็ตามมีอีกหนึ่งประโยคคำพูดที่บรรดาพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ มักถามคู่รักที่เพิ่งแต่งงานว่า "เมื่อไหร่จะมีลูก"
ประโยคที่ถามว่าเมื่อไหร่จะลูก เชื่อว่าเป็นคำถามคลาสสิกที่หลายครอบครัวจะต้องพบเจอ แม้ฟังดูเป็นคำถามธรรมดา แต่สำหรับบางคู่มันแอบน่าอึดอัดเพราะการมีลูกอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต ขณะที่บางคู่มองว่ายังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง
นอกจากประโยคข้างต้น ในมุมด้านการตลาดก็มีศัพท์ที่น่าสนใจอย่าง SINKs (Single Income no kids) ที่หมายถึงคนโสด และ DINKs (Double Income No Kids) หมายถึงคู่รักไม่ว่าจะเป็นคู่รักชายหญิงหรือคู่รักเพศเดียวกัน แต่เลือกที่จะไม่มีลูก หรืออาจมีลูกไม่ได้ด้วยปัจจัยทางกายภาพก็ตาม ซึ่งทั้งสองคำนี้ดูเหมือนเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
สำหรับประเทศไทย เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า อีก 20 ปีประชากรไทยจะเพียงเหลือ 36 ล้านคน อันที่จริงก็ไม่แปลกเพราะหากดูรูปแบบการพัฒนาเมืองและการกระจายอำนาจ 'กรุงเทพฯ' ถือเป็นเมืองรวมศูนย์ที่โอกาส การงาน การศึกษา ความก้าวหน้า หลายต่อหลายอย่างกระจุกอยู่ในเมืองเดียว
และหากเราแกะกรุงเทพฯ ออกมาดูจะพบว่า การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ค่าเช่าสูงค่าครองชีพสูง ความเหลื่อมล้ำ หลายคนเน้น 'เช่า' มากกว่า 'ซื้อ' ขยับขยายย้ายที่พักไปตามสถานที่ทำงาน การแบ่งเวลาดูแลสุขภาพและการมีรายได้ที่สามารถพึ่งพาตัวเองในแต่ละเดือนได้
แค่นี้เชื่อว่าหลายคนก็ "เหน็ดเหนื่อย" เกินพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการมีลูก ประกอบกับในโลกที่สภาพสังคม สุขภาพ สภาพอากาศ การเมือง ตลอดจนเศรษฐกิจ นั่นทำให้โอกาสของคนรุ่นใหม่ที่กว่าจะเติบโตและลืมตาอ้าปากได้ยากลำบากเต็มที
ไม่แปลกที่คนรุ่นทั้งกลุ่ม SINKs และ DINKs จะไม่อยากมีลูก กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความบาลานซ์ในชีวิต มักใช้ชีวิตการทำงานที่ไม่ยึดติดเพียงแค่ในออฟฟิศ คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับร้านกาแฟ คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้า และมักเลือกที่พักอาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าที่เดินทางอย่างสะดวก นั่นสะท้อนถึงความพยายามแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดี
ประโยคที่ถามว่าเมื่อไหร่จะลูก เชื่อว่าเป็นคำถามคลาสสิกที่หลายครอบครัวจะต้องพบเจอ แม้ฟังดูเป็นคำถามธรรมดา แต่สำหรับบางคู่มันแอบน่าอึดอัดเพราะการมีลูกอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต ขณะที่บางคู่มองว่ายังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง
นอกจากประโยคข้างต้น ในมุมด้านการตลาดก็มีศัพท์ที่น่าสนใจอย่าง SINKs (Single Income no kids) ที่หมายถึงคนโสด และ DINKs (Double Income No Kids) หมายถึงคู่รักไม่ว่าจะเป็นคู่รักชายหญิงหรือคู่รักเพศเดียวกัน แต่เลือกที่จะไม่มีลูก หรืออาจมีลูกไม่ได้ด้วยปัจจัยทางกายภาพก็ตาม ซึ่งทั้งสองคำนี้ดูเหมือนเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
สำหรับประเทศไทย เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า อีก 20 ปีประชากรไทยจะเพียงเหลือ 36 ล้านคน อันที่จริงก็ไม่แปลกเพราะหากดูรูปแบบการพัฒนาเมืองและการกระจายอำนาจ 'กรุงเทพฯ' ถือเป็นเมืองรวมศูนย์ที่โอกาส การงาน การศึกษา ความก้าวหน้า หลายต่อหลายอย่างกระจุกอยู่ในเมืองเดียว
และหากเราแกะกรุงเทพฯ ออกมาดูจะพบว่า การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ค่าเช่าสูงค่าครองชีพสูง ความเหลื่อมล้ำ หลายคนเน้น 'เช่า' มากกว่า 'ซื้อ' ขยับขยายย้ายที่พักไปตามสถานที่ทำงาน การแบ่งเวลาดูแลสุขภาพและการมีรายได้ที่สามารถพึ่งพาตัวเองในแต่ละเดือนได้
แค่นี้เชื่อว่าหลายคนก็ "เหน็ดเหนื่อย" เกินพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการมีลูก ประกอบกับในโลกที่สภาพสังคม สุขภาพ สภาพอากาศ การเมือง ตลอดจนเศรษฐกิจ นั่นทำให้โอกาสของคนรุ่นใหม่ที่กว่าจะเติบโตและลืมตาอ้าปากได้ยากลำบากเต็มที
ไม่แปลกที่คนรุ่นทั้งกลุ่ม SINKs และ DINKs จะไม่อยากมีลูก กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความบาลานซ์ในชีวิต มักใช้ชีวิตการทำงานที่ไม่ยึดติดเพียงแค่ในออฟฟิศ คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับร้านกาแฟ คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้า และมักเลือกที่พักอาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าที่เดินทางอย่างสะดวก นั่นสะท้อนถึงความพยายามแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดี


childless หรือ child-free
ปัจจัยเรื่องการมีลูกขึ้นอยู่กับความพร้อมในหลายๆ ด้านของแต่ละครอบครัว ดร.ลาริซา คอร์ดา สูตินรีแพทย์ในลอนดอนระบุในเว็บไซต์ Vanityfair ว่า สังคมส่วนใหญ่ของเรามีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดเรื่องการมีลูก และมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตผู้คนตามคำกล่าวของดร.คอร์ดา ได้ให้นิยามคำสองคำที่น่าสนใจว่า “ไม่มีบุตร” หรือ childless ซึ่งมีความหมายเชิงดูถูกและทำร้ายจิตใจนั้น ปัจจุบันควรเปลี่ยนเป็นคำว่า child-free หรือการเลือกที่จะมีบุตรอย่างเสรีแทน บางงานวิจัยพบว่าการขาดคู่ครองที่เหมาะสมเป็นสาเหตุทั่วไปที่ทำให้หลายคนชะลอการมีบุตร ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่มีบุตรอย่างถาวร
ขณะที่บางงานวิจัยก็พบว่าปัจจัยจากครอบครัวมีส่วนในการตัดสินใจที่จะไม่มีลูกของผู้หญิงทั้งๆ ที่พบว่าผู้หญิงที่ไม่อยากมีลูกบางคนกลับมีสัญชาติญาณความเป็นแม่สูงมาก ดังนั่นจึงไม่อาจหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่า เพราะปัจจัยด้านสังคม คุณภาพชีวิต หรือปัจจัยใดกันแน่ที่ทำให้ผู้คนเลือก child-free กันมากขึ้น เรื่องนี้ก็นำไปสู่อีกข้อถกเถียงหนึ่งในประเด็น "การทำแท้งเสรี" ในบางประเทศทีกำลังเป็นที่ถกเถียงว่าเราควรมีสิทธิเลือกที่จะมีบุตรอย่างเสรีหรือไม่
- บทความจากเว็บไซต์ The Guardian ที่ชื่อ 'Why a generation is choosing to be child-free' สรุปไว้ เหตุผลคร่าว ๆ ว่าทำไมคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก คือ ปัจจัยเรื่องเงิน เด็กต้องใช้เงินในการเลี้ยงดูในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
- กังวลเรื่องสุขภาพจิตภาวะซึมเศร้าจากปัจจัยด้านความเป็นอยู่ภายในเมืองใหญ่
- เทคโนโลยีทำให้คนเราอายุยืนขึ้น แม้จะเป็นแง่ดีแต่บางครั้งก็อาจส่งผลตรงกันข้ามได้ โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรโลกมากขึ้น
- ความรับผิดชอบจากปัจจัยงานที่พ่อแม่ไม่อาจการแบ่งเวลาให้กับลูกได้อย่างเต็มที่ คนรุ่นใหม่จึงอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามากว่า
- ปัญหารอบโลก เด็กที่เกิดใหม่ในอนาคตอาจไม่ได้เจอโลกที่สวยงามเหมือนในยุคปัจจุบัน และสุดท้ายกับปัจจัยความสำเร็จ ที่เด็กรุ่นใหม่ต้องแสวงหาความสำเร็จบนพื้นฐานความยากลำบากหลายประการ พูดง่ายๆ คือเอาคุณภาพชีวิตของคนที่เกิดมาแล้วให้มันรอดก่อน ค่อยสร้างพลเมืองรุ่นใหม่
อันที่จริงโลกเราเริ่มมีคนเกิดน้อยกว่าตายมาตั้งแต่ปี 2010 จนนักประชากรศาสตร์คาดว่าอีก 80 ปีข้างหน้าจะมีอย่างน้อย 23 ประเทศที่ประชากรลดลงครึ่งหนึ่ง หนึ่งในประเทศเหล่านั้นมีไทยด้วย จากสถิตประเทศไทยมีต่ำเป็นอันดับ 6 ของโลก

ทางเลือกโลกรอด
ในชาติตะวันตกมีการถกเถียงเรื่อง child-free มากขึ้นในวงกว้าง คนกลุ่มขวาจัดอนุรักษนิยมมองว่า แนวคิดนี้อันตรายจนอาจถึงขั้นทำให้มนุษยชาติสูญสิ้น แต่หากคิดในมุมตรงกันข้าม หากประชากรล้นโลก ก็ทำให้มนุษยชาติสูญสิ้นเช่นกันดร.คอร์ดา ระบุว่า ตามรายงานของสหประชาชาติประชากรโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 พันล้านคนในอีก 30 ปีข้างหน้า จาก 7.7 พันล้านคนในปัจจุบัน เป็น 9.7 พันล้านคนในปี 2593 และอาจสูงสุดเกือบ 11 พันล้านคนในปี 2643
ดร.คอร์ดากล่าวว่า คนไข้ของเธอบอกเธออย่างเปิดเผยว่าการมีประชากรมากเกินไปเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาไม่ต้องการมีลูก เพราะความกังวลเกี่ยวกับจำนวนประชากรมากเกินไปในโลกและรอยเท้าคาร์บอนที่เราสร้างมันนำไปสู่การทำลายล้างโลกของเราที่คนในอนาคตต้องรับเคราะห์
มีนวนิยายเรื่องหนึ่งที่ชื่อ The Children of Men เขียนโดย PD James ได้ให้คำตอบอย่างสร้างสรรค์ถึงประเด็น child-free โดยระบุว่า การไม่มีลูกและการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติที่ใกล้เข้ามาไม่ได้เป็นผลจากการเลือก child-free อย่างเสรีของแต่ละบุคคล
นิยายเรื่องนี้ปูพื้นเรื่องมาว่า ไม่มีมนุษย์ใหม่เกิดขึ้นเลยเป็นเวลากว่า 25 ปีแล้ว และการสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ใกล้เข้ามาเมื่อผู้คนล้มหายตายจากไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ผู้คนค่อยๆ จางหายไป วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วปีเล่า PD James ฉายภาพว่าหากมนุษย์ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น มนุษย์จะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าและกังวลต่ออนาคตของมนุษยชาติ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่ทั้งชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่น
PD James อธิบายในนิยายว่า หากมนุษย์ยังกังวลเรื่องเด็กเกิดน้อยหรือประชากรหดตัว มนุษย์ในอนาตจะไม่สามารถเผชิญกับโลกที่ปราศจากเด็กด้วยความใจเย็น แม้ว่าเราจะไม่ต้องการมีลูก แต่เราทุกคนล้วนต้องการให้มนุษยชาติมีอนาคต ดังนั้นจึงมีขีดจำกัดในระดับการลดหรือเพิ่มจำนวนประชากรที่เราและธรรมชาติสามารถยอมรับได้