Childfree ทางเลือกเสรีของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการมีลูก

13 ม.ค. 2566 - 07:56

  • ถ้าโลกมันวุ่นวาย (เกินไป) แล้วจะมีลูกไปทำไม มองแนวคิดคนรุ่นใหม่ความเสรีในการเลือกมีลูก

young_generation_choosing_to_be_child_free_by_choice_SPACEBAR_Thumbnail_d10da6fe6b.jpeg
สมัยก่อนมีคำกล่าวที่ว่า "มีลูกหนึ่งคน จนไปอีก 10 ปี" แต่ปัจจุบันประโยคนี้เปลี่ยนไป "มีลูกหนึ่งคน (อาจ) จนไปจนลูกเรียนจบ" อย่างไรก็ตามมีอีกหนึ่งประโยคคำพูดที่บรรดาพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ มักถามคู่รักที่เพิ่งแต่งงานว่า "เมื่อไหร่จะมีลูก"  

ประโยคที่ถามว่าเมื่อไหร่จะลูก เชื่อว่าเป็นคำถามคลาสสิกที่หลายครอบครัวจะต้องพบเจอ แม้ฟังดูเป็นคำถามธรรมดา แต่สำหรับบางคู่มันแอบน่าอึดอัดเพราะการมีลูกอาจจะไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต ขณะที่บางคู่มองว่ายังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง  

นอกจากประโยคข้างต้น ในมุมด้านการตลาดก็มีศัพท์ที่น่าสนใจอย่าง SINKs (Single Income no kids) ที่หมายถึงคนโสด และ DINKs (Double Income No Kids) หมายถึงคู่รักไม่ว่าจะเป็นคู่รักชายหญิงหรือคู่รักเพศเดียวกัน แต่เลือกที่จะไม่มีลูก หรืออาจมีลูกไม่ได้ด้วยปัจจัยทางกายภาพก็ตาม ซึ่งทั้งสองคำนี้ดูเหมือนเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ 

สำหรับประเทศไทย เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเคยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุว่า อีก 20 ปีประชากรไทยจะเพียงเหลือ 36 ล้านคน อันที่จริงก็ไม่แปลกเพราะหากดูรูปแบบการพัฒนาเมืองและการกระจายอำนาจ 'กรุงเทพฯ' ถือเป็นเมืองรวมศูนย์ที่โอกาส การงาน การศึกษา ความก้าวหน้า หลายต่อหลายอย่างกระจุกอยู่ในเมืองเดียว  

และหากเราแกะกรุงเทพฯ ออกมาดูจะพบว่า การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ค่าเช่าสูงค่าครองชีพสูง ความเหลื่อมล้ำ หลายคนเน้น 'เช่า' มากกว่า 'ซื้อ' ขยับขยายย้ายที่พักไปตามสถานที่ทำงาน การแบ่งเวลาดูแลสุขภาพและการมีรายได้ที่สามารถพึ่งพาตัวเองในแต่ละเดือนได้  

แค่นี้เชื่อว่าหลายคนก็ "เหน็ดเหนื่อย" เกินพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการมีลูก ประกอบกับในโลกที่สภาพสังคม สุขภาพ สภาพอากาศ การเมือง ตลอดจนเศรษฐกิจ นั่นทำให้โอกาสของคนรุ่นใหม่ที่กว่าจะเติบโตและลืมตาอ้าปากได้ยากลำบากเต็มที  

ไม่แปลกที่คนรุ่นทั้งกลุ่ม SINKs และ DINKs จะไม่อยากมีลูก กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความบาลานซ์ในชีวิต มักใช้ชีวิตการทำงานที่ไม่ยึดติดเพียงแค่ในออฟฟิศ คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่กับร้านกาแฟ คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้า และมักเลือกที่พักอาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าที่เดินทางอย่างสะดวก นั่นสะท้อนถึงความพยายามแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดี
young_generation_choosing_to_be_child_free_by_choice_SPACEBAR_Photo01_eec3b1725a.jpeg
ATTILA KISBENEDEK / AFP
young_generation_choosing_to_be_child_free_by_choice_SPACEBAR_Photo02_c8e5e9934c.jpeg
เด็กหญิงชาวอัฟกันที่เขต Bati Kot ในจังหวัด Nangarhar เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2023 (Photo: Shafiullah KAKAR / AFP)

childless หรือ child-free

ปัจจัยเรื่องการมีลูกขึ้นอยู่กับความพร้อมในหลายๆ ด้านของแต่ละครอบครัว ดร.ลาริซา คอร์ดา สูตินรีแพทย์ในลอนดอนระบุในเว็บไซต์ Vanityfair ว่า สังคมส่วนใหญ่ของเรามีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดเรื่องการมีลูก และมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตผู้คน 

ตามคำกล่าวของดร.คอร์ดา ได้ให้นิยามคำสองคำที่น่าสนใจว่า “ไม่มีบุตร” หรือ childless ซึ่งมีความหมายเชิงดูถูกและทำร้ายจิตใจนั้น ปัจจุบันควรเปลี่ยนเป็นคำว่า child-free หรือการเลือกที่จะมีบุตรอย่างเสรีแทน บางงานวิจัยพบว่าการขาดคู่ครองที่เหมาะสมเป็นสาเหตุทั่วไปที่ทำให้หลายคนชะลอการมีบุตร ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่มีบุตรอย่างถาวร  

ขณะที่บางงานวิจัยก็พบว่าปัจจัยจากครอบครัวมีส่วนในการตัดสินใจที่จะไม่มีลูกของผู้หญิงทั้งๆ ที่พบว่าผู้หญิงที่ไม่อยากมีลูกบางคนกลับมีสัญชาติญาณความเป็นแม่สูงมาก ดังนั่นจึงไม่อาจหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่า เพราะปัจจัยด้านสังคม คุณภาพชีวิต หรือปัจจัยใดกันแน่ที่ทำให้ผู้คนเลือก child-free กันมากขึ้น เรื่องนี้ก็นำไปสู่อีกข้อถกเถียงหนึ่งในประเด็น "การทำแท้งเสรี" ในบางประเทศทีกำลังเป็นที่ถกเถียงว่าเราควรมีสิทธิเลือกที่จะมีบุตรอย่างเสรีหรือไม่ 
  1. บทความจากเว็บไซต์ The Guardian ที่ชื่อ 'Why a generation is choosing to be child-free' สรุปไว้ เหตุผลคร่าว ๆ ว่าทำไมคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก คือ ปัจจัยเรื่องเงิน เด็กต้องใช้เงินในการเลี้ยงดูในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
  2. กังวลเรื่องสุขภาพจิตภาวะซึมเศร้าจากปัจจัยด้านความเป็นอยู่ภายในเมืองใหญ่
  3. เทคโนโลยีทำให้คนเราอายุยืนขึ้น แม้จะเป็นแง่ดีแต่บางครั้งก็อาจส่งผลตรงกันข้ามได้ โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรโลกมากขึ้น 
  4. ความรับผิดชอบจากปัจจัยงานที่พ่อแม่ไม่อาจการแบ่งเวลาให้กับลูกได้อย่างเต็มที่ คนรุ่นใหม่จึงอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่ามากว่า
  5. ปัญหารอบโลก เด็กที่เกิดใหม่ในอนาคตอาจไม่ได้เจอโลกที่สวยงามเหมือนในยุคปัจจุบัน และสุดท้ายกับปัจจัยความสำเร็จ ที่เด็กรุ่นใหม่ต้องแสวงหาความสำเร็จบนพื้นฐานความยากลำบากหลายประการ พูดง่ายๆ คือเอาคุณภาพชีวิตของคนที่เกิดมาแล้วให้มันรอดก่อน ค่อยสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ 
แม้ประเด็นข้างต้นจะให้น้ำหนักเรื่องปัจจัยด้านคุณภาพชีวิตและสภาพแวดล้อม แต่ปัจจุบันหลายชาติที่ร่ำรวยต่างก็ประสบปัญหาประชากรหดตัวไม่ต่างกัน  

อันที่จริงโลกเราเริ่มมีคนเกิดน้อยกว่าตายมาตั้งแต่ปี 2010 จนนักประชากรศาสตร์คาดว่าอีก 80 ปีข้างหน้าจะมีอย่างน้อย 23 ประเทศที่ประชากรลดลงครึ่งหนึ่ง หนึ่งในประเทศเหล่านั้นมีไทยด้วย จากสถิตประเทศไทยมีต่ำเป็นอันดับ 6 ของโลก 
young_generation_choosing_to_be_child_free_by_choice_SPACEBAR_Photo03_1acb55e8c8.jpeg
ครอบครัวชาวจีนขณะพาลูกเดินห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง (Photo: WANG Zhao / AFP)

ทางเลือกโลกรอด

ในชาติตะวันตกมีการถกเถียงเรื่อง child-free มากขึ้นในวงกว้าง คนกลุ่มขวาจัดอนุรักษนิยมมองว่า แนวคิดนี้อันตรายจนอาจถึงขั้นทำให้มนุษยชาติสูญสิ้น แต่หากคิดในมุมตรงกันข้าม หากประชากรล้นโลก ก็ทำให้มนุษยชาติสูญสิ้นเช่นกัน  

ดร.คอร์ดา ระบุว่า ตามรายงานของสหประชาชาติประชากรโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 พันล้านคนในอีก 30 ปีข้างหน้า จาก 7.7 พันล้านคนในปัจจุบัน เป็น 9.7 พันล้านคนในปี 2593 และอาจสูงสุดเกือบ 11 พันล้านคนในปี 2643 

ดร.คอร์ดากล่าวว่า คนไข้ของเธอบอกเธออย่างเปิดเผยว่าการมีประชากรมากเกินไปเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาไม่ต้องการมีลูก เพราะความกังวลเกี่ยวกับจำนวนประชากรมากเกินไปในโลกและรอยเท้าคาร์บอนที่เราสร้างมันนำไปสู่การทำลายล้างโลกของเราที่คนในอนาคตต้องรับเคราะห์  

มีนวนิยายเรื่องหนึ่งที่ชื่อ The Children of Men เขียนโดย PD James ได้ให้คำตอบอย่างสร้างสรรค์ถึงประเด็น child-free โดยระบุว่า  การไม่มีลูกและการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติที่ใกล้เข้ามาไม่ได้เป็นผลจากการเลือก child-free อย่างเสรีของแต่ละบุคคล  

นิยายเรื่องนี้ปูพื้นเรื่องมาว่า ไม่มีมนุษย์ใหม่เกิดขึ้นเลยเป็นเวลากว่า 25 ปีแล้ว และการสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ใกล้เข้ามาเมื่อผู้คนล้มหายตายจากไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ผู้คนค่อยๆ จางหายไป วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วปีเล่า PD James ฉายภาพว่าหากมนุษย์ตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น มนุษย์จะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าและกังวลต่ออนาคตของมนุษยชาติ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่ทั้งชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่น  

PD James อธิบายในนิยายว่า หากมนุษย์ยังกังวลเรื่องเด็กเกิดน้อยหรือประชากรหดตัว มนุษย์ในอนาตจะไม่สามารถเผชิญกับโลกที่ปราศจากเด็กด้วยความใจเย็น แม้ว่าเราจะไม่ต้องการมีลูก แต่เราทุกคนล้วนต้องการให้มนุษยชาติมีอนาคต ดังนั้นจึงมีขีดจำกัดในระดับการลดหรือเพิ่มจำนวนประชากรที่เราและธรรมชาติสามารถยอมรับได้ 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์