ทำไมคนไทยถึงยอมเสียเงินกับ ‘กาแฟ’? คำตอบอาจไม่ใช่แค่ควักจ่ายเพื่อ ‘กาแฟเพียงอย่างเดียว’ แต่จ่ายเพื่อ ประสบการณ์ พลังงาน ความสบาย และภาพลักษณ์ของตัวเอง ขณะที่อีกด้าน ‘กาแฟ’ ยังเป็น ‘พลังเริ่มต้นวัน’ ของใครอีกหลายคน ทำให้กาแฟเป็นเรื่อง ‘ต้องดื่ม’ ในทุกเช้า และระหว่างวัน เป็นพฤติกรรมที่ ‘ฝังแน่น’ เหมือนการแปรงฟันหรือล้างหน้าที่สำหรับบางคนแล้วจะถึงขนาด ‘ไม่มีไม่ได้’ นี่จึงทำให้กาแฟซึ่งปัจจุบันจะมีราคาที่ ‘แพงขึ้นมาก’ แต่ผู้บริโภคก็ยังเลือกดื่ม ส่งให้พาณิชย์ออกมาย้ำ ตลาดกาแฟในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง
ว่ากันอีกว่า ราคากาแฟในประเทศไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีกเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 ราคากาแฟคั่วที่ผู้บริโภคจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5% จากปีที่แล้ว ขณะที่กาแฟสำเร็จรูปมีการปรับราคาสูงขึ้นถึง 7.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟรายใหญ่ในประเทศไทยได้ประกาศปรับขึ้นราคากาแฟผงสำเร็จรูปอีก 5% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา มีปัจจัยหนุนการขึ้นราคาทั้งต้นทุนเมล็ดกาแฟที่สูงขึ้น จากภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศที่แปรปรวน กระทบต่อผลผลิตกาแฟในประเทศผู้ผลิตหลัก เช่น บราซิลและเวียดนาม นอกจากนี้ การเก็บภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟที่สูง
กาแฟราคาเท่าไหร่บ้าง ที่คนไทยยอมจ่าย!
ประเด็นเรื่อง ‘ราคากาแฟ’ ย่อมเป็นไปตามรสนิยม และสภาวะการเงินในกระเป๋า ผู้ผลิตเองก็ตอบสนองผู้บริโภคทุกกลุ่ม จำแนกได้ 4 ประเภท ดังนี้

ตลาดกาแฟในประเทศไทย
ตลาดกาแฟในประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่คึกคัก และมีพลวัต มากที่สุดในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วยหลายปัจจัยที่ทำให้ตลาดนี้ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และดึงดูดทั้งผู้ประกอบการรายใหม่และรายใหญ่ให้เข้ามาแข่งขันกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเรื่องของ พฤติกรรมการบริโภค, ตัวเลขตลาดรวมมีมูลค่าหลายหมื่นล้าน, การแข่งขันสูงและเปิดกว้าง ทั้งยังรวมถึง การที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตกาแฟด้วย โดยอยู่ที่ภาคเหนือ (อาราบิก้า) และภาคใต้ (โรบัสต้า) นั่นเอง
พฤติกรรมการดื่มกาแฟที่เติบโตต่อเนื่อง : มีตัวเลขระบุว่า คนไทยดื่มกาแฟเฉลี่ย มากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี หรือประมาณ 1 แก้วต่อวัน และ ความนิยมดื่มกาแฟ ก๋ไม่ได้จำกัดเฉพาะวัยทำงาน แต่ขยายไปถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้สูงอายุ
ตลาดรวมมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท : ในปี 2566 ตลาดกาแฟไทยมีมูลค่ารวมเกิน 100,000 ล้านบาท โดยเป็น...
- กาแฟสำเร็จรูป สัดส่วน 84%
- กาแฟสด สัดส่วน 16%
ทั้งยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่องจากเทรนด์สุขภาพ และกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่กล่าวได้ว่า ในประเทศไทยมีการเติบโตสูง โดยมีอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 25 ต่อปี
ตอกย้ำข้อมูลของ นีลเส็นไอคิว ที่ชี้ ตลาดกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2567 ว่า มีมูลค่าตลาดโดยรวม 5,700 ล้านบาท และเติบโต 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน เนื่องมาจากความต้องการที่สูงของผู้บริโภคชาวไทย
ส่วนแบ่งตลาดกาแฟสำเร็จรูป (Instant Coffee) ในประเทศไทย
หากจะว่ากัน ด้วยเรื่องส่วนแบ่งการตลาดแล้ว เนสกาแฟ ถือเป็นแบรนด์ใหญ่ เจ้าตลาดในประเทศไทย โดยตามข้อมูลจากปี 2023 เนสกาแฟมีส่วนแบ่งตลาดกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทยสูงถึง **ประมาณ 50-60%**มีสินค้าครอบคลุมทั้ง 3-in-1, กาแฟดำ, กาแฟเย็นสำเร็จรูป
ตามมาด้วย เขาช่อง อยู่ในอันดับ 2 มีฐานลูกค้าในต่างจังหวัดและกลุ่มราคาประหยัด แต่ไม่ได้มีตัวเลขที่แน่ชัด เช่นเดียวกับ เบอร์ดี้ (Birdy) – ของ Ajinomoto เป็นแบรนด์ที่แข็งแรงในตลาด Ready-to-Drink และก็มีผลิตภัณฑ์แบบ 3-in-1 ด้วย นอกจากนี้ ยังมี มอคโคน่า (Moccona), TASTO, ตราแพะ และรวมถึง มาวินกาแฟ (Mawin Coffee) และ ลิโป้ (Lifeboat) ที่มักจะเน้นการสร้างความแตกต่างในรสชาติ หรือราคา
นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ใหม่ ๆ ที่เริ่มมีความนิยมเพิ่มขึ้นเช่น กาแฟบาร์ท (Barista Coffee) หรือ กาแฟออร์แกนิก ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะ อีกด้วย
การเปลี่ยนผ่านจากกาแฟสำเร็จรูป สู่กาแฟสด/กาแฟพิเศษ
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “พฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทย” เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้บริโภคไทยเริ่มมีความรู้เรื่องกาแฟมากขึ้น เปลี่ยนการบริโภคจากกาแฟสำเร็จรูปที่เคยครองตลาด มาสู่ ‘กาแฟสด’ เมล็ดกาแฟคั่วบด (กาแฟดริป) และ ‘กาแฟพิเศษ’ (Specialty coffee) มากขึ้น สะท้อนถึงรสนิยมที่ซับซ้อนขึ้น ความต้องการในคุณภาพ รสชาติ และประสบการณ์ที่แตกต่าง และปัจจัยเหล่านี้ก็ส่งเมล็ดกาแฟไทย มีชื่อเสียงมากขึ้น เช่น อาราบิก้าดอยช้าง , แม่แจ่ม, ปางขอน ฯลฯ กลายเป็นสินค้ายอดนิยม แต่แง่การผลิตเพื่อคอกาแฟ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ต้องบอกว่า ยังไม่เพียงพอ โดยตัวเลขการบริโภคกาแฟของคนไทย (รวมกาแฟกระป๋อง instant กาแฟสด) อยู่ที่ 100,000 ตันต่อปี แง่การผลิตมีตัวเลขเพียง 4-5 หมื่นตันต่อปี แบ่งออกเป็นอราบิก้า 50% และโรบัสต้า 50% หากนับเฉพาะกาแฟพิเศษอย่างเดียว กำลังผลิตอยู่ที่ราว 5,000 ตัน เท่านั้น