ภาพการแข่งขันต่อสู้แบบเดิม จึงเปลี่ยนไป แน่นอนว่ารายใหม่ พร้อมรบทุกรูปแบบ ทุกตลาด เพราะนั่นคือการช่วงชิงตลาดจาก 2 รายเดิม
มาดูมูลค่าตลาดเบียร์ปีในปี 2566 มูลค่าตลาดรวมประมาณ 260,000 ล้านบาท ตลาดใหญ่ที่สุดคือ เบียร์ในกลุ่ม Economy ถ้าในตลาดเรียกกันง่าย ๆ ว่า เบียร์ 3 ขวด 100 บาท หรือถ้าดูง่าย ๆ ก็เบียร์ที่บรรจุดในขวดสีน้ำตาล มีทั้ง ลีโอ สิงห์ ช้าง อาชา สัดส่วนตลาดของเบียร์ Economy อยู่ที่ 75% เบียร์สแตนดาร์ด อยู่ที่ 20% และเบียร์พรีเมี่ยม อยู่ที่ 5 %
ผู้ผลิตที่ครองตลาดเบียร์สูงสุด คือ กลุ่มบุญรอดบริวเวอร์รี่ เจ้าของ สิงห์ ลีโอ มีส่วนแบ่งตลาด 57.9%. ตามมาด้วยอันดับสอง กลุ่มไทยเบฟ เจ้าของ ช้าง อาชา มีส่วนแบ่งตลาด 34.3% ตามกลุ่มไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอร์รี่ เจ้าของ ไฮเนเก้น มีส่วนแบ่งตลาด 4.7% นอกนั้นเป็นค่ายอื่น
ดุลอำนาจของผู้ผลิตเบียร์รายเดิม ก็ตรึงกันมานาน ช่วงหลังจากสถานการณ์โควิด สภาพเศรษฐกิจ ก็อาจจะซบเซาไปบ้าง แต่กิจกรรมต่าง ๆ ก็ดำเนินต่อไป
การเข้ามาของรายใหญ่ หน้าใหม่ คาราบาว กรุ๊ป เมื่อปลายปี 2566 คือการหวนคืนสู่สงครามน้ำเมาอีกครั้ง เพราะมีการรับน้องใหม่ ที่จะเข้าตลาด
คาราบาว กรุ๊ป เปิดตัวในปี 2566 ด้วยเบียร์ 2 แบรนด์ คือ คาราบาว และตะวันแดง พร้อมกัน 4 รสชาติ ประกอบด้วย ลาเกอร์ ,ดุงเกล ,ไวเซ่น และโรเซ่ และประกาศตั้งเป้าขอส่วนแบ่งการตลาด 30% ในปีแรก และขึ้นเป็นผู้เล่นหลัก 1 ใน 3 ของตลาดเบียร์
นั่นคือความคิดของ รายใหม่ในตลาดเบียร์ แต่ต้องถามว่า เจ้าตลาดเดิมยอมหรือไม่ เพราะรายเดิมไม่ใช่กลุ่มไร้ทุน หรือไร้ชื่อเสียง ฐานกำลังที่สะสมมายาวนาน พร้อมที่จะต่อสู้แบบยาวนานได้ รวมไปถึงสงครามราคาก็เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้
มีการสรุปตัวเลขส่วนแบ่งตลาดหลังเข้าตลาดเมื่อปลายปี 2566 ของ ‘เบียร์ควาย’ ชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการของเบียร์คาราวบาวแดงว่า อยู่ที่ประมาณ 2% เมื่อเดือนธันวาคม และยอดขายเดือน มกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2567 ลดลงประมาณ 30%
มีการประเมินว่า เบียร์คาราบาวแดงในปี 2567 คาดว่ายอดขายประมาณ 1,950 ล้านบาท
ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 1.5% ส่วนแบ่งการตลาดจะขยับเป็น 2% ในปี 2568 นี่คือตัวเลขคาดการณ์ ซึ่งแน่นอนว่าทางคาราบาวกรุ๊ป ยอมรับไมได้ เพราะคาดหวังไว้มากกว่านั้น
ประเมินกันว่า การที่ส่วนแบ่งตลาด และยอดขายไม่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากสภาพเศรษฐกิจ การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และอีกส่วนหนึ่งมาจากการปกป้องตลาดของรายเดิม ที่คงไม่ยอมเสียส่วนแบ่งตลาดไปง่าย ๆ
ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ผู้ก่อตั้ง และผู้ถือหุ้น คาราบาวกรุ๊ป บอกในงานคอนเสิร์ตใหญ่ว่า
“ผมไปเล่นที่ไหน ผมก็บอกว่าขอเอาเบียร์คาราบาวไปขายได้มั้ย ปรากฏว่ามีเบียร์ยี่ห้อมันไม่ยอม มันก็บอกว่าถ้าเกิดว่าร้านนี้เอาเบียร์คาราบาวมาขาย มันจะถอนเบียร์มันออกไป คือมันมีอำนาจมีการผูกขาดกันมานานแล้ว ผมขายเบียร์ไม่ได้เลย เซเว่นก็ไม่ยอมขายให้ผม แม็คโครก็ไม่ยอมขายให้”
ความในใจของแอ๊ด คาราบาว ก็สอดคล้องกับที่มีกระแสข่าวในวงการเอเยนต์จำหน่ายสุราว่า หากร้านไหนไม่ขาย เบียร์คาราบาว จะให้เพิ่มส่วนลดของเบียร์เจ้าตลาดให้อีก ซึ่งผลออกมาก็คือ ร้านยอมรับเงื่อนไขนี้ ทำให้เบียร์คาราบาวค่อย ๆ หายไปจากหน้าร้าน และต้องไปเน้นช่องทางการจำหน่ายของ คาราบาว กรุ๊ปเอง เช่น ร้านซีเจมอร์ ร้านถูกและดี และช่องทางการจำหน่ายใหม่ ๆ ที่สามารถคุยกันได้ คาราบาวกรุ๊ป ก็เจราจาทุกราย เช่น รายล่าสุดคือ แอร์ เอเชีย ที่มีเบียร์ของคาราบาวจำหน่ายตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา
