ทีมเศรษฐกิจพลังประชารัฐ อัดยับลดราคาน้ำมันสไตล์ ‘พีระพันธุ์’

17 ต.ค. 2566 - 10:02

  • แม้ว่าจะเคยเป็นพรรคเดียวกัน แล้วแยกออกมาเป็น 2 พรรค ก็ใช่ว่าจะเห็นตรงกัน

  • ประธานกรรมการด้านวิชาการ พลังประชารัฐ ออกมาถล่มรัฐมนตรีพลังงาน จากรวมไทยสร้างชาติ เรื่องลดราคาน้ำมันแก้ไม่ตรงจุด

economy-energy-oil-refinery-diesel-gasoline-SPACEBAR-Hero.jpg

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Thirachai Phuvanatnaranubala ในหัวข้อช่วยราคาน้ำมันแบบเหวี่ยงแห 

เนื้อหาระบุว่า ไม่เห็นด้วยที่รัฐจะช่วยราคาน้ำมันแบบเหวี่ยงแห ถ้าควักจากกระเป๋าประชาชน และในวันที่ 16 ต.ค.66 พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน กล่าวว่า มีการนำเสนอต่อ ครม. แนวทางช่วยราคาเบนซิน 2 มาตรการ คือ 

  1. รัฐใช้เงินเดือนละ 95 ล้านบาทเศษ ช่วยเหลือมอเตอร์ไซด์รับจ้าง  
  2. รัฐใช้เงินเดือนละ 4,000 ล้านบาทเศษ ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบการอื่น ๆ

ซึ่งรัฐมนตรีพีระพันธุ์ไม่เห็นด้วย เพราะต้องการลดราคาน้ำมันเป็นภาพรวม ไม่ใช่ช่วยเหลือเป็นกลุ่ม ๆ คือ ลดแบบน้ำมันดีเซล เช่น ลดไปลิตรละ 2.50 บาท เป็นต้น 

ธีรชัย ตั้งข้อสังเกตว่า แนวคิดของนายพีระพันธุ์ น่าจะไม่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

เป็นการช่วยแบบเหวี่ยงแห

แนวทางการลดราคาน้ำมันเป็นภาพรวม เช่น ลดไปลิตรละ 2.50 บาท นั้น จะต้องเกิดจากการปรับโครงสร้างการแบ่งกำไรในธุรกิจน้ำมันเป็นหลัก ถ้าการลดราคาเกิดจากรัฐบาลควักกระเป๋าเป็นหลัก เช่น  ลดภาษีสรรพสามิต  ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดเงินที่เก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อันจะมีผลให้หนี้ของกองทุนฯ ซึ่งเป็นภาระของประชาชนต้องเพิ่มขึ้น 

การลดราคาเช่นนี้เป็นการช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแหผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการลดราคาโดยรัฐบาลควักกระเป๋า นั้น จะไม่เฉพาะคนจน ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ประกอบการรายย่อยแต่ผู้ที่จะได้ประโยชน์ จะรวมไปถึงคนที่มีกำลังเงินสามารถช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว จะรวมไปถึงผู้ใช้รถหรูหรา จะรวมไปถึงผู้ใช้รถซูเปอร์คาร์หลักคิดนี้ก็คือ เอาภาระเพิ่มขึ้น ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ ย้ำ 'ทั้งประเทศ' แต่กลับไปจุนเจือ รวมไปถึงคนที่มีกำลังเงินสามารถช่วยตัวเองได้อยู่แล้ว มีลักษณะเป็นการเหวี่ยงแห ไม่ต่างจากโครงการเงินดิจิทัล ที่แจกทั้งคนรวยและคนจน โดยไม่กังวลว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น

ไม่ promote การประหยัด

การควักกระเป๋าจากฝ่ายรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือแบบเหวี่ยงแห นอกจากปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมแล้ว ยังจะต้องคำนึงถึงปัญหาราคาพลังงาน ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นจากภูมิรัฐศาสตร์โลก ในภาวะราคาตลาดโลกสูงขึ้น 

รัฐบาลควรจะเน้นให้ประชาชนประหยัดดังนั้น แนวทางการลดราคาน้ำมันเป็นภาพรวม เช่น ลดไปลิตรละ 2.50 บาท นั้น จึงควรจะใช้นโยบายนี้ เฉพาะถ้ามีการรื้อโครงสร้างการแบ่งกำไรระหว่างผู้ประกอบการในแต่ละชั้นเท่านั้นถึงเวลาแล้ว ที่ รมว.พลังงาน ผู้มีจุดมุ่งหมายจะทำงานให้แก่ประชาชน จะรื้อกติกาการโยงราคาน้ำมันในไทย กับโรงกลั่นที่สิงคโปร์

ถึงเวลาแล้ว ที่จะกำกับควบคุม ไม่ให้โรงกลั่นน้ำมันในไทย ฉกฉวยเอากำไรค่าการกลั่น สูงขึ้นตามสภาวะตลาดโลกถึงเวลาแล้ว ที่จะให้บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ ต้องคืนกำไรให้แก่ประชาชนมากขึ้น

เขาบอกว่า ขอชี้แนะด้วยความเคารพ และจะรอฟังด้วยใจจดจ่อ ว่าแนวทางการลดราคาน้ำมันแบบภาพรวม ที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเกิดขึ้นจาก การควักกระเป๋าของรัฐบาล (ซึ่งก็คือ ควักจากกระเป๋าของประชาชนในที่สุดนั่นเอง)หรือจะเกิดขึ้นจาก การควักกระเป๋าของบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนมากขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ก.พลังงานปั่นป่วน มึน..งง..สไตล์ทำงานรัฐมนตรี

เติมเบนซิน มีลุ้น! ลดราคา 2.50 บาท/ลิตร

รถ EV รุ่นไหนขายดีที่สุด เทียบตลาดโลก-ไทย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์