ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดในแดนลบอย่างหนัก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) ส่งสัญญาณว่าจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต โดยระบุว่าต้องการเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเงินเฟ้อที่ชัดเจนมากขึ้นก่อนดำเนินการดังกล่าว
ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงอย่างรุนแรงที่สุดที่ 3.5% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 3.0% สะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อท่าทีที่เข้มงวดของ FED ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ:
- Tesla ร่วงลงมากที่สุดถึง 8%
- Amazon ปรับตัวลง 5%
- Microsoft ลดลง 4%
- Google ปรับตัวลง 3.5%
นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยร่วงลงถึง 5% สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของนักลงทุนต่อสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอาจจะยังคงอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
นายชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยมุมมองต่อการปรับประมาณการเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดเพียง 0.25% ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์นั้น สะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐที่มองว่ายังแข็งแกร่ง โดยเฟดปรับเพิ่ม GDP ปีนี้จาก 2.0% เป็น 2.5% และปีหน้าจาก 2.0% เป็น 2.1%

สำหรับตลาดแรงงาน เฟดคาดอัตราการว่างงานปีนี้อยู่ที่ 4.4% และปรับลดคาดการณ์ปีหน้าเป็น 4.3% จากเดิม 4.5% ขณะที่ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อปีหน้าเป็น 2.5% จาก 2.1% สะท้อนว่าเศรษฐกิจและการจ้างงานสหรัฐยังแข็งแกร่ง แม้เงินเฟ้อจะลดลงช้ากว่าคาด
"เฟดไม่กังวลเศรษฐกิจสหรัฐ แต่อาจกังวลผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ โดยเฉพาะมาตรการการค้า อย่างไรก็ตาม มองไปถึงปี 2025-2026 เศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในโซนดี คาดการณ์โต 2% และเงินเฟ้อลดลงจาก 2.5% เหลือ 2.1% ทำให้เฟดยังคงนโยบายแบบเข้มงวดได้" นายชาตรีกล่าว
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงอย่างหนัก มองว่าเป็นการปรับฐานคล้ายกับช่วงใกล้เลือกตั้งและเป็นการปรับฐานรับกับดอกเบี้ยที่จะลดช้าลง พร้อมแนะนำนักลงทุนให้ใช้จังหวะนี้ในการสะสมหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม AI มากกว่าหุ้นขนาดกลางและเล็ก เช่นเดียวกันกับตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯอายุ 10 ปี ดอลลาร์ และเงินบาท แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนจะรับได้
สำหรับตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มองว่ายังไม่น่าสนใจ เนื่องจากตลาดพัฒนาแล้วยังมีความผันผวนอยู่ เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นไทยที่น่ากังวลหลังหลุด 1,400 จุด ส่วนตลาดทองคำมองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนควรเข้าไปสะสม ขณะที่บิตคอยน์และน้ำมันแนะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะสงครามภูมิรัฐศาสตร์ หากสงครามยุติลงได้จริงอาจจะเห็นราคาน้ำมันปรับตัวลดลงประมาณ 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล