ดูเหมือนเวลานี้การทำ ‘สงครามราคา’ จะเป็น #ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ ของค่ายรถญี่ปุ่นในประเทศไทย (รวมถึงทั่วโลก)
เมื่อ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเฉพาะรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% อย่าง BEV (Battery Electric Vehicle) จากค่ายรถจีนรุกตีกินส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเลขยอดขายที่ลดลง ส่งผลให้รายได้หดตัว กระทบต่อผลประกอบการของบริษัท ผู้บริหารที่ต้องรักษารายได้และสร้าง growth ให้ธุรกิจ จึงต้องตอบคำถามบอร์ดบริหาร-ผู้ถือหุ้น และหาทางแก้เกม
แต่ดูเหมือนว่า ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นจะไม่มีวิธีไหนนอกจากอัดโปรโมชั่น ลด-แลก-แจก-แถม
ค่ายผู้นำอย่างโตโยต้า (Toyota) ฮอนด้า (Honda) และค่ายอื่นๆ ยังคงโหมโปรโมชั่นเป็นหลักแสนบาทต่อคัน งบการตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรบางลง แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อหล่อเลี้ยงดีลเลอร์ และรักษากำลังการผลิตของโรงงานให้ยังคงเดินเครื่องต่อเนื่อง
ล่าสุด (4 มีนาคม) ซูซูกิ (Suzuki) ออกโปรจัดหนัก (โหดเหมือนโกรธค่ายรถจีน) ถึงสิ้นมีนาคมนี้ รับฤดูมอเตอร์โชว์ ด้วยการปรับลดราคารถ 2 รุ่น ได้แก่
- Suzuki Ciaz สูงสุด 150,000 บาท (ราคา 528,000 ลดเหลือ 378,000 บาท)
- Suzuki XL7 สูงสุด 80,000 บาท (ราคา 814,000 ลดเหลือ 734,000 บาท)
พร้อมข้อเสนอพิเศษ
- ขับฟรี 90 วัน
- พนักงานเงินเดือนประจำ และลูกค้าข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ รับดอกเบี้ยพิเศษ
- ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก, บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี


ถ้าเป็นมวย ตอนนี้ค่ายญี่ปุ่นที่ขาย ‘รถน้ำมัน’ เป็นหลัก กำลังถูกต้อนจนมุม เพราะไม่มีโปรดักส์ใหม่ออกมาสู้ EV จากค่ายรถจีนที่สเปคดี ราคาเซ็กซี่ และข้อเสนอใจป้ำกว่าเมื่อเทียบในกลุ่มรถเดียวกัน แถมยังมีมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าจากรัฐบาลอย่าง มาตรการ EV 3.0 และ มาตรการ EV 3.5 คอยหนุน
มาตรการสนับสนุน EV ทั้ง 2 ระยะข้างต้น เป็นการจูงใจให้เกิดอุปสงค์ (demand) และ อุปทาน (supply) ให้ประชาชนอยากซื้อ และผู้ผลิตอยากขาย-สร้างฐานการผลิตในประเทศ
“มาตรการ EV 3.0 เริ่มเห็นผลที่ชัดเจนแล้ว”
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินจากสถานการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา หลังค่ายรถที่เข้าร่วมมาตรการฯ เริ่มเดินสายการผลิต EV ในไทย และกระแสรถ BEV เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ก้าวกระโดดแค่ไหน?
ยอดขายในช่วงไฮไลท์งานขายรถยนต์ประจำปีอย่าง Motor Show และ Motor Expo ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2565-2566) คือหลักฐานที่ยืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้ได้ดี และตัวเลขชุดเดียวกันนี้เช่นกันที่สร้างความหวาดหวั่นใจให้ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่น จนต้องยอมเฉือนกำไรลงมาทำสงครามราคา

หากเทียบตามไทม์ไลน์ที่เริ่มประกาศใช้มาตรการ EV 3.0 เมื่อกลางปี พ.ศ.2565 จะเห็นว่า มีผลต่อยอดขาย EV ของค่ายรถจีนที่เพิ่มสูงขึ้น และปิดท้ายปี 2566 ไปแบบ ‘แฮปปี้นิวเยียร์’ ด้วยยอดขายรวม (10 อันดับแรกค่ายรถขายดี) ใน Motor Expo แซงค่ายรถญี่ปุ่น
กระแส Google Trends ย้อนหลัง 5 ปี ชี้ชัดว่า ช่วงเวลาที่เริ่มมีการพูดถึง มาตรการ EV 3.0 ของรัฐบาล คือช่วงเวลาเดียวกับที่กระแส EV เริ่มร้อนแรงในสังคมไทย ก่อนจะมีแนวโน้มที่ตื่นตัวและสูงขึ้นในเวลาต่อมา

ค่ายรถญี่ปุ่นจะพลิกเกมได้หรือไม่ ยังเร็วไปที่จะตั้งคำถาม เพราะสิ่งที่น่าสนใจคือ ระหว่างที่ค่ายรถญี่ปุ่นเปลี่ยนผ่านสายพานการผลิต ทั้งแรงงาน เทคโนโลยี และความรู้ไปสู่ EV พวกเขาจะรักษาตัวไม่ให้บอบช้ำเกินไปได้อย่างไร
เพราะถ้ามองในภาพใหญ่ระดับโลก นับตั้งแต่ปี 2020 ที่เป็น ‘จุดตัด’ ระหว่างผู้ผลิตรถจากจีนและญี่ปุ่น ณ ปีนั้น จีนมียอดผลิตรถทั่วโลกเพิ่มขึ้น ขณะที่ญี่ปุ่นเริ่มลดลง

ยอดผลิตรถยนต์ ปี 2022 (ยอดผลิตทั้งหมด 85,016,728 คัน)
- จีนผลิตรถยนต์มากที่สุดในโลก 27,020,615 คัน คิดเป็น 31% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลกทั้งปี
- ขณะที่ปีนั้น ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์อยู่ที่ 7,835,519 คัน คิดเป็น 9.21% ถูกจีนทิ้งห่างมากกว่า 3 เท่าตัว
สัจธรรมของโลกธุรกิจคือ ตลาดทุกตลาดมี ‘ขนาด’ ของมัน โดยคนนิยมเปรียบเทียบขนาดของตลาดเป็น ‘ก้อนเค้ก’ และทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของโลกและธุรกิจ จะมีการสลับสับเปลี่ยนของคนที่ร่วมโต๊ะกินเค้กก้อนนั้น
คนที่เคยกินเยอะสุด อาจได้ส่วนแบ่งน้อยลง คนที่กินในลำดับรองลงมา อาจได้ส่วนแบ่งไม่มากเหมือนก่อน และบางคนอาจถูกถีบตกเก้าอี้ และแทนที่ด้วยผู้มาใหม่
คำถามคือ เป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้มาใหม่อย่างค่ายรถจีนที่เข้ามาร่วมโต๊ะแบ่งเค้กก้อนนี้ด้วยข้อเสนอพิเศษจากเจ้าภาพ อาจทำให้คนร่วมโต๊ะเดิมบางคนต้องหายไปจากวงกินเค้ก
เพราะข้อเสนอพิเศษอย่างมาตรการสนับสนุน EV ทั้ง 2 ระยะ นอกจากจะช่วยบูสต์ยอดขายรถ EV จากค่ายจีนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแล้ว อีกด้านคือการให้ผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้อง ‘ผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้า’
อัตราส่วนการนำเข้า : การผลิตในประเทศ
มาตรการ EV 3.0
- 1 : 1 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 1 คัน) ภายในปี 2567
- 1 : 1.5 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 1.5 คัน) ภายในปี 2568
มาตรการ EV 3.5
- 1 : 2 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) ภายในปี 2569
- 1 : 3 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 3 คัน) ภายในปี 2570
ซึ่งจุดนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่ายรถจีนได้ส่วนแบ่งเค้กเพิ่มขึ้นมหาศาล (ถ้าค่ายรถญี่ปุ่นยังไม่เร่งปรับตัวไปสู่ EV) เนื่องจากจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของค่ายรถที่เข้าร่วมโครงการฯ ต่ำลง เมื่อต้นทุนลดลง ราคาขายก็ถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น และเมื่อจำนวนคนมากพอ ตลาด EV ก็จะเกิด ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็จะเติบโตตามมา
สมรภูมิรถยนต์จากโลกเก่าและโลกใหม่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ในเกมที่ไม่มีใครอยากแพ้ รัฐบาลไทยในฐานะเจ้าภาพที่เป็นตัวกลางของผู้ผลิตรถยนต์จากต่างชาติ จะจัดสรรข้อเสนอพิเศษอย่างไร เพื่อรักษาน้ำใจคนร่วมโต๊ะหน้าเก่าและหน้าใหม่ ให้ทุกฝ่าย วิน-วิน
แต่อย่าลืมว่า ทุกการเปลี่ยนแปลง มีคนได้ คนเสีย และคนที่ต้องออกจากเกม