KSS คาดการณ์ 90% ธปท.จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันพรุ่งนี้ เหตุเศรษฐกิจซบ-เงินเฟ้อต่ำ
กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภาพรวมเศรษฐกิจไทยและแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงนี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้าโลก อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ และเส้นโค้งผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งสะท้อนโอกาสสูงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 25 จุดพื้นฐาน (bps) ในการประชุมวันที่ 30 เมษายนนี้
ปัจจัยหนุนการลดดอกเบี้ย
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี ระบุว่า ตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยแสดงสัญญาณ 'inverted yield curve' โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น (1 ปี) สูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะกลาง (5 ปี) และต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว (10 ปี) ที่ระดับ 1.89% สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจในระยะกลางและคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.8% ในเดือนมีนาคม และคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 0.15% ในไตรมาส 2 ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 1-3% อีกทั้ง ธปท. มีแนวโน้มปรับลดประมาณการ GDP ปี 2568 ลงเหลือต่ำกว่า 2.5% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.9% เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการค้าโลกและผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อสินค้าไทย
ปัจจัยต่างประเทศและผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี มองว่าการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ยังไม่มีการติดต่อโดยตรง แต่มีสัญญาณบวกจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ขณะที่จีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่มูลค่ากว่า 5 ล้านล้านหยวนต่อปี เช่น การคืนภาษีและลดอัตราดอกเบี้ย
สำหรับผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น META, MSFT, AAPL และ AMZN จะประกาศในสัปดาห์นี้ หากผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด อาจกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่าสูง
เศรษฐกิจยุโรป เผชิญปัญหาไฟฟ้าดับในหลายประเทศ แต่คาดผลกระทบเป็นเพียงชั่วคราว ไม่ส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มรายได้ยุโรปได้รับแรงกดดันระยะสั้น ขณะที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน เช่น GULF และ GPSC ได้รับผลบวก
แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์ GDP เอเชีย-แปซิฟิกปี 2568 เหลือ 4% และไทยเหลือ 1.6% ซึ่งเป็นปัจจัยกลางสำหรับตลาดหุ้นไทย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ลดลงและอ่อนค่าลงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน โรงไฟฟ้า และช่วยดึงดูดเงินทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย
กลุ่มหุ้นเด่นและธีมการลงทุน
แนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic Play ที่ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มค้าปลีก BJC, CPALL และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง STECON ที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ MTC, SAWAD, GULF, GPSC, CPALL, BJC และ MINT
ในกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF และ GPSC ยังคงโดดเด่น ขณะที่กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน SPRC, TOP และ BCP โดยเฉพาะ SPRC เป็นตัวเลือกหลัก เนื่องจากค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ CPF ยังได้รับปัจจัยบวกจากจีนเลิกนำเข้าหมูสหรัฐฯ
สำหรับกองทุน ESGX ไทย (ThaiESGX Fund) จะเริ่มรับเงินลงทุนใหม่ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคมนี้ คาดว่าจะมีเงินลงทุนใหม่ราว 1.5-2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะหนุนหุ้นกลุ่ม ESGX เช่น CPALL, GPSC, AOT, KBANK, ADVANC และ GULF