กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มดีดตัวในระยะสั้น โดยมีแนวรับ-แนวต้านที่ระดับ 1,160/1,150 - 1,175/1,180 จุด
กระแสเงินลงทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง
การกระจายเม็ดเงินลงทุนในฝั่งตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ยังคงดำเนินต่อเนื่องจากภาวะดอลลาร์อ่อนค่า และทิศทางเศรษฐกิจเอเชียที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ ทำให้เศรษฐกิจต้องคลายนโยบายการเงินมากขึ้นเพื่อหนุนการเติบโตในระยะถัดไป
ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา
1. สงครามการค้าและนโยบายการคลังสหรัฐ
ความเสี่ยงจากภาษีศุลกากร (Tariff Risks) ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่มีแนวโน้มการประนีประนอม แม้สหรัฐจะลดภาษีศุลกากรกับยุโรปบางส่วน แต่โครงสร้างภาษีใหม่ที่ 10-15% ยังคงสูงสุดในรอบ 100 ปี ส่งผลกระทบต่อต้นทุนครัวเรือนและกำลังซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง
นโยบายการคลังสหรัฐ ปี 2568 มีความเสี่ยงการกระชับนโยบาย คือการตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนกว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Fed ซึ่งแตกต่างจากเอเชียที่มีเงินเฟ้อต่ำและต้องการแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ
2. ตลาดพันธบัตรสหรัฐและการปรับลดมูลค่าหุ้น
อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yields) เป็นปัจจัยหลักในการกดดันราคาหุ้น การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงมากกว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นผลจากอุปทานพันธบัตรเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางลดงบดุล และค่าเสี่ยงระยะยาวสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนด้านเงินเฟ้อ
มูลค่าหุ้น S&P 500 ที่พุ่งขึ้นจากกระแสเงินกองทุน ETF และความหวังเรื่อง AI ขัดแย้งกับภาพการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่เริ่มชะลอตัว
3. ความยืดหยุ่นของจีนและการสนับสนุนจากนโยบาย
จีนส่งสัญญาณฟื้นตัวทีละขั้น โดยกำไรภาคอุตสาหกรรมเติบโต 3% ต่อปี การบริโภคฟื้นตัว และยังมีนโยบายสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศ สะท้อนว่าจีนยังไม่ใช่ปัจจัยฉุดเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น
ปัจจัยบวกและลบต่อตลาดหุ้นไทย
ปัจจัยบวก
- สหรัฐเลื่อนเก็บภาษีกับสหภาพยุโรป สร้างแรงหนุนทางจิตวิทยาเชิงบวก
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับลง เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มหนี้สูงและสาธารณูปโภค
ปัจจัยลบ
- ดุลการค้าไทยขาดดุลสูงสุดในรอบ 27 เดือน ทำให้กระแสเงินลงทุนชะลอตัว
- งบประมาณ ปี 2569 อาจล่าช้า
- ความเสี่ยงโควิด-19 รอบใหม่ โดยมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 65,000 รายต่อสัปดาห์
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ
สหรัฐอเมริกา
เพิ่มความระมัดระวังในการถือหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ที่มี P/E สูง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีบางกลุ่ม และเน้น 'Yield Play' หรือ 'Defensive Growth' เช่น โรงไฟฟ้า และกลุ่มการเงินที่ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
จีน
หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของจีนในไทย เช่น SCC, IVL, PTTGC, SCGP อาจฟื้นตัวเชิงอารมณ์ แต่เน้นหุ้นที่มีมูลค่ายังถูกและกระแสเงินสดแข็งแกร่งเท่านั้น
ตลาดหุ้นไทย – ‘Buy on Dip’
แนะนำซื้อหุ้นกลุ่มเป้าหมาย:
- กลุ่มการเงิน (MTC) - ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
- กลุ่มโรงพยาบาล (BCH) - ความเสี่ยงโควิดเพิ่มขึ้น เท่ากับอุปสงค์ฟื้นตัว
- กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) - หุ้นป้องกันความเสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนดีในภาวะดอกเบี้ยลดลง
---
บทวิเคราะห์โดย กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)