‘มันฝรั่ง’ ไม่ใช่พืชประจำถิ่นประเทศไทย แต่เลย์ ส่งเสริมการปลูก เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคในประเทศ โจทย์ของเลย์ คือ “การใช้ผลผลิตเกษตรไทย ลดการนำเข้า พร้อมกับส่งเสริมรายได้” นี่จึงเป็นความท้าทาย ท่ามกลางสภาพภูมิอากาศ ‘ผันผวน’
นายสุดิปโต โมซุมดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหารอินโดจีน เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ผู้มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย กล่าวว่า ‘เป๊ปซี่โค ในฐานะบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำของโลก ให้ความสำคัญต่อเกษตรกรอย่างมาก เพราะเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จของเป๊ปซี่โค ประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ เราจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งอย่างยั่งยืนในไทย โดยส่งเสริมทุกด้าน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับเกษตรกร พร้อมๆ กับดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การดำเนินงานเพื่อส่งเสริมเกษตรกรไทย ปลูกมันฝรั่ง ก็ยังมีความท้าทายต่อเนื่อง เป๊บซี่โค จึงนำแนวปฏิบัติของโครงการเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Farming Program หรือ SFP) ซึ่งเป็นโครงการเรือธงของเป๊ปซี่โค มาปรับใช้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเพาะปลูกจากต่างประเทศ ทั้งการอนุรักษ์น้ำ การดูแลสุขภาพดิน การจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ พร้อมพัฒนาทักษะความชำนาญให้กับเกษตรกรทำให้สามารถบรรเทาภาระต้นทุน พร้อมๆ กับการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้แก่เกษตรกรไทยได้
ด้วยความร่วมมือของเป๊ปซี่โคและเกษตรกรที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกมันฝรั่งแล้ว ใน 10 จังหวัดของไทย รวมกว่า 38,000 ไร่ ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สร้างรายได้โดยรวมในปัจจุบันได้ถึง ปีละ 1,500 ล้านบาทให้แก่เกษตรกรภายใต้ ‘เกษตรพันธสัญญา’ หรือการรับประกันราคาผลผลิต รวม 5,800 ราย นอกจากนี้ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ยังมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรที่อยู่ภายใต้เกษตรพันธสัญญาทั้งหมดให้ปฏิบัติตามแนวทางเกษตรยั่งยืนและมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 ภายในปี 2573
เป๊ปซี่โค กับการวางแผนรับมือสภาพอากาศผันผวน
อย่างไรก็ตาม เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ได้วางแผนเพื่อเตรียมรับมือกับสภาวะภูมิอากาศที่มีความผันผวนรุนแรงไว้ด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้เกษตรกร รวมถึงการวางแผนการจัดการวัตถุดิบให้พอเพียงกับปริมาณผลิตและความต้องการภายในประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบภาคการผลิตซึ่งอยู่ภายใต้ห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน
3 แกน ส่งเสริมคุณค่าห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
คุณสุดิปโต กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งอย่างยั่งยืนในประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่เป๊ปซี่โคเรียกว่า “PepsiCo Positive หรือ pep+ (เป๊ป โพสิทีฟ)” ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์หลักและเป็นอนาคตขององค์กรที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนให้กับโลกในทุกมิติ
“วิสัยทัศน์ของเรา คือ การสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งจะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก pep+ มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมคุณค่าให้ห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำทั้งการผลิต เพาะปลูก การแปรรูป การลำเลียงขนส่ง และการจัดจำหน่าย เพื่อไปสู่ปลายทางสุดท้ายคือผู้บริโภค ทั้งยังสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมโดยที่ไม่สร้างภาระเพิ่มให้กับทรัพยากรธรรมชาติ”
กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหารอินโดจีนฯ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์เชิงบวก “PepsiCo Positive หรือ pep+” นั้น ประกอบด้วย 3 แกนหลัก ได้แก่
1. Positive Agriculture : การเกษตรเชิงบวก
2. Positive Choices : ทางเลือกเชิงบวก
3. Positive Value Chain : ห่วงโซ่คุณค่าเชิงบวก
การเกษตรเชิงบวก คือ แนวทางในการฟื้นฟูผืนดินในพื้นที่ 7 ล้านเอเคอร์ หรือประมาณเกือบ 18 ล้านไร่ โดยการจัดหาพืชผลกลุ่มตระกูลถั่วงา ธัญพืช ผักผลไม้ ที่สามารถนำมาปลูกเพื่อฟื้นฟูคุณภาพดินได้อย่างสมดุลย์ 100% เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรและคนในชุมชนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบอันจะเป็นการเสริมสร้างความยั่งยืนด้านการเกษตรอย่างถาวร นําไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) สุทธิอย่างน้อย 3 ล้านตันภายในปี 2573 อันจะช่วยปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของกว่า 250,000 คน รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจให้กับสตรีในภาคการเกษตรด้วย
ทางเลือกเชิงบวก คือ แนวทางส่งเสริมคุณค่าทางอาหารในผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่โค ได้แก่การลดความหวานจากน้ำตาลในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ลดปริมาณโซเดียมและไขมันอิ่มตัวในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้บริโภค โดยปัจจุบันนี้ กว่า 70% ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสำเร็จรูปของเราสามารถบรรลุระดับปริมาณโซเดียมเป้าหมายสำหรับปี 2573 ที่แนะนำโดยองค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ได้แล้ว
ห่วงโซ่คุณค่าเชิงบวก คือ แนวทางสร้างห่วงโซ่คุณค่าแบบหมุนเวียนวัตถุดิบ ส่งเสริมการรีไซเคิล การนำบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ และมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero emissions) ทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าของเราภายในปี 2583 โดยภายในปี 2573 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้มากกว่า 40%
ทั้งนี้ ในปี 2566 เพียงปีเดียว โรงงานทั้ง 2 แห่งที่ลำพูนและโรจนะได้บรรลุความสำเร็จในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 100% แล้ว และยังลดการใช้ทรัพยากรน้ำไปได้รวม 15% จากอัตราปกติด้วย และในส่วนบรรจุภัณฑ์นั้น ก็สามารถดึงกลับมาได้กว่า10% ในปี 2566 และเราได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการดึงกลับให้ได้ 30% ในปี 2568 ด้วย
เป๊บซี่โค กับโปรเจคต์ขับเคลื่อนนวัตกรรม อาหารและเครื่องดื่มที่ยั่งยืน
นอกจากความร่วมมือกับเกษตรกรและภาครัฐ เป๊ปซี่โค ยังได้ขยายความร่วมมือและการสนับสนุนไปยังกลุ่มสตาร์ทอัพ ภายใต้โครงการ “Greenhouse Accelerator” เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาต่อยอดกลยุทธ์เชิงบวก หรือ pep+ อย่างเป็นรูปธรรม
นางสุริวัสสา สัตตะรุจาวงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโครงการ Greenhouse Accelerator เป็นโครงการภายใต้ความรับผิดชอบของเป๊ปซี่โค ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในปี 2567 ได้ขยายหัวข้อใหม่ครอบคลุมเรื่อง ‘เกษตรกรรมยั่งยืน’ ซึ่งมีความสำคัญเช่นเดียวกับเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนและแนวทางรับมือกับสภาพภูมิอากาศ และในปีนี้มีสตาร์ทอัพหลายประเทศรวมถึงสตาร์ทอัพจากประเทศไทยผ่านเข้ารอบด้วย 2 ราย

สำหรับโครงการ Greenhouse Accelerator ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 เพื่อสร้างนวัตกรรมที่ก้าวหน้าและยั่งยืน โดยโครงการเริ่มต้นขึ้นที่ยุโรป อเมริกาเหนือ แอฟริกาเหนือ ภูมิภาคตะวันออกกลาง และมาถึงเอเชียแปซิฟิกในปี 2566 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีสตาร์ทอัพเกิดใหม่จากโครงการนี้ 86 แบรนด์ มียอดขายเติบโตรวมกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 700 ล้านบาท
เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ในฐานะ ‘Iconic Brand’ ยังคงมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางของความยั่งยืนเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อผู้คนตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตและห่วงโซ่ธุรกิจ พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ลดความเสี่ยงรอบด้านที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งปริมาณและคุณภาพของวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารหรือปัญหาเชิงโครงสร้างและการเมืองที่ส่งผลต่อการค้าขายทั่วโลก ขณะที่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรถือเป็นหัวใจสำคัญต่อการสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับสังคม
