ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ FIRST UP ผ่านทางเพจ SPACEBAR โดยวิเคราะห์ภาวะตลาดการเงินโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและนโยบายการคลัง
ตลาดหุ้นอเมริกาปรับตัวลง - ข้อมูลการจ้างงานอ่อนแอ
ตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อวานนี้สะดุดปรับตัวลงในรอบ 5 วันทำการ หลังตัวเลขการจ้างงานออกมาดูอ่อนแอค่อนข้างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนสัญญาณเชิงลบของเศรษฐกิจอเมริกาที่เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้น
ชาตรี ชี้ให้เห็นว่า "ตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาเมื่อคืนนี้ สะท้อนให้ชัดว่ามีความไม่แน่ใจในเชิงเศรษฐกิจของผู้ประกอบธุรกิจหลายส่วน ทำให้การจ้างงานใหม่อาจจะไม่รีบ เพราะยากที่จะวางแผนการขยายธุรกิจในช่วงเวลาที่ภาษีไม่แน่นอน ทั้งต้นทุนนำเข้า ทั้งการส่งสินค้าออก"
สงครามการค้าเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจจริง
ชาตรีเน้นว่าเรื่องสงครามการค้าเริ่มที่จะเข้าไปสู่ภาวะเศรษฐกิจจริง และไม่คิดว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขที่ชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์การค้ายังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นอีก
"การจ้างงานเป็นอะไรที่ระยะยาว เวลาจ้างหรือปลดพนักงานต้องใช้เวลา ตอนนี้น่าจะเป็นโหมด wait and see สำหรับผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐฯ"
Fed ติดกับดัก 'Stagflation' ลังเลลดอกเบี้ย
เมื่อถูกถามเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชาตรี ระบุว่า เฟดมีแนวคิดเรื่องลดดอกเบี้ยตลอดเวลา แต่เหตุผลที่กังวลกว่าดอกเบี้ยคือเรื่องการจ้างงาน และเรื่องสงครามการค้า
"ถ้าทางการค้าออกมาในลักษณะที่เพิ่มอัตราเงินเฟ้อสูง จะเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับเฟด เพราะการจ้างงานแย่และเงินเฟ้อสูงด้วย จะกลายเป็นความเสี่ยงเข้าสู่ stagflation"
ทั้งนี้คาดว่าเฟดคงต้องรอให้ภาพของการเจรจาการค้า โดยเฉพาะสหรัฐกับจีน ชัดเจนก่อนให้เห็นความตกลงในกรอบที่กว้างกว่านี้
การเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน คาดจบภายใน 30 วัน
ชาตรี มองว่าสิ่งที่จะทำให้เสร็จภายใน 30 วัน น่าจะมีแค่จีนประเทศเดียว ส่วนประเทศอื่นๆ ไม่มีเวลาต่อรอง จะออกมาแนวเหมาเข่ง คือจะเอาอย่างนี้ ไม่ต้องต่อรองอะไร
"ทรัมป์เองก็พูดถึงเมื่อวานว่าสีจิ้นผิงเป็นคนดี ผมชอบเขา แต่เป็นคนที่คุยยากมากเลย แสดงให้เห็นแล้วว่าเอาแค่ประเทศจีนประเทศเดียว 30 วัน ผมไม่แน่ใจว่าจะจบได้"
สำหรับประเทศไทย คาดว่าจะได้อัตราภาษีมาจากสหรัฐฯ ซึ่งไม่น่าจะทรุดหนักเพราะไทยไม่สามารถรับแนวคิดของการขึ้นภาษีได้อีก คาดว่าจะได้สัก 10-15% แต่ไม่ได้ขึ้นไป 35 หรือ 46%
ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้น ยกเว้นไทย
ชาตรี สังเกตว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยกเว้นไทยกำลังแรลลี่กลับมาเป็นช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดปัญหาเรื่องภาษีตอบโต้ อย่างเวียดนาม ญี่ปุ่น หรือจีน มีแนวโน้มที่ปรับตัวขึ้น สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าสถานการณ์จะแย่ลงไปมากกว่าการก่อนหน้าจะประกาศภาษีตอบโต้
อย่างไรก็ตามมองว่าหุ้นไทยยังเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากมีหลายปัจจัยกดดัน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความเสี่ยง ประเด็นการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าหุ้นไทยจะฟื้นได้ คิดว่าต้องแก้ปัญหาไปทีละเรื่อง อย่างแรกคือปัญหาชายแดน และปัญหาในรัฐบาล และมองว่าหุ้นไทยไม่ได้เทรดบน Valuation แต่เทรดอยู่บนสถานการณ์ว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งตอนนี้มันแย่ลง
แนะนำกลยุทธ์การลงทุน
สำหรับการลงทุนมองว่านักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่กำลังถอยออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเข้าตลาดอื่น โดยเฉพาะในยุโรปและตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเป็นประโยชน์ต่อตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะ เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลี และตลาดอินเดีย
คาดทองคำไม่น่าต่ำกว่า 3,000 เหรียญ
สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ ชาตรี มองว่าทองคำน่าสนใจในระยะยาว และอาจจะกลายเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ของประเทศที่หนี้เยอะ
"ภาพทองคำอาจลงมาแถวๆ 3,200-3,100 บาท แต่ไม่คิดว่าจะกลับไปต่ำกว่า 3,000 บาท ก่อนหน้านี้ทุกคนมีเงินก็ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตอนนี้เริ่มมีคนไม่แน่ใจและมาซื้อทองคำมากขึ้น เช่นเดียวกับคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มักจะซื้อสะสมบิตคอยน์มากกว่าเมื่อเทียบกับคนรุ่นเก่าที่มักจะซื้อสะสมทองคำ นับเป็นอีกทางเลือกของการลงทุนท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก" ชาตรีกล่าวทิ้งท้าย