วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย (Pi Securities) ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ FIRST UP ผ่านทางเพจ SPACEBAR หลังหุ้นไทยเปิดตลาดเช้านี้ติดลบกว่า 10 จุด ว่าหุ้นไทยเจอแรงกดดันจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอและมีความเสี่ยงปรับตัวลงต่อเนื่อง
3 ปัจจัยหลักกดดันหุ้นไทย
ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวถึง 3 ปัจจัยหลักที่กดดันหุ้นไทย
1. เศรษฐกิจไทยซึม
- การบริโภคภาคเอกชนลดลง
- การส่งออกเริ่มแย่ลง
- การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว
- การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
2. การท่องเที่ยวไทยยังน่าวิตก
ตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 14.5 ล้านราย ลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่าหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก
3. ต้นทุนธุรกิจเพิ่มขึ้น
ธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีกใหญ่ๆ รายงานยอดขายลดลง ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรหดตัว
แนวโน้มการลงทุน: ระวังความเสี่ยงระยะสั้น
วทัญ มองว่า SET ยังมีความเสี่ยงปรับตัวลงต่อได้อีก โดยประเมินว่าหากคำนวณจาก EPS ประมาณ 100 บาทต่อหุ้น และ P/E อยู่ที่ 7-8 เท่า หุ้นไทยเสี่ยงลงต่อสู่ระดับ 700-800 จุด ซึ่งมองว่าเป็นโซนที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน เนื่องจากจะมี Valuation ที่ถูกเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นฮ่องกงและเกาหลีใต้ แต่ต้องติดตามสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการท่องเที่ยวไทยควบคู่ไปด้วย
หุ้นกลุ่มไหนยังสู้ได้?
ส่วนหุ้นกลุ่มที่ยังแกร่งและยังสามารถสู้สภาวะเศรษฐกิจซบเซาได้คือ วทัญมองว่าส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในกลุ่ม Defensive โดยเฉพาะหุ้นโรงพยาบาลอย่าง BDMS หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ เช่น MTC และ SAWAD พอประคับประคองได้ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน-กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ยังคงเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ถ้าให้เลือกมองว่า GULF ยังมีโอกาสเติบโตได้ดี เพราะผู้บริหารยังมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจ
คำแนะนำการลงทุน
วทัญ แนะนำว่านักลงทุนควรกระจายการลงทุน ลดสัดส่วนหุ้นไทย และมองหาโอกาสใหม่ในหุ้นต่างประเทศ แต่ควรรอจังหวะที่เหมาะสม แม้หุ้นต่างประเทศจะดีแต่ยังอยู่ในจุดที่แพงอยู่ ช่วงนี้แนะนำให้ถือเงินสดก่อนไม่ต้องรีบ