สุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (ประธานสภาเอสเอ็มอี) ประธานการประชุมใหญ่สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย ประจำปี 2567 ซึ่งจัดขึ้นที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (7 พฤศจิกายน 2567) ร่วมกับ 50 ภาคีเครือข่าย โดยชี้ถึงปัญหาใหญ่ของบรรดาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ยังประสบความยากลำบาก แม้ภาครัฐหรือหน่วยงานอื่นจะมีหลากหลายโครงการเพื่อช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถเขาถึงการช่วยเหลือได้ ซึ่งเกิดจาก “ตัวตน ของเอสเอ็มอีที่ไม่ชัดเจน” จึงไม่เข้าองค์ประกอบของการช่วยเหลือ
ประเด็นนี้ สภาเอสเอ็มอี จึงมีความพยายามในการผลักดันพระราชบัญญัติสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย พ.ศ. เพื่อเข้าไปแก้ปัญหาดังกล่าวให้เกิดความชัดเจน มีรูปธรรมและเป็นการส่งเสริมการทำงานของหน่วยงานดำเนินการของภาครัฐให้เกิดความสะดวกและมีการบูรณาการแบบเบ็ดเสร็จ
“สภาฯ จึงได้อาศัยวาระของการประชุมใหญ่นี้รวมพลัง เพื่อเป็นการแสดงเจตนาและแสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการที่ฐานราก ทำให้นโยบายความช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐสามารถกระทำได้อย่างทั่วถึงและตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง” สุปรีย์ กล่าว

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่จัดอยู่ในกลุ่มเอสเอ็มอีอยู่ถึง 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด หรือมากกว่า 3 ล้านราย แต่เป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีเพียง 1 ล้านรายเท่านั้น กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถือเป็นห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่มีความสำคัญในการเชื่อมต่อธุรกิจขนาดใหญ่เข้ากับประชาชนที่ฐานราก เนื่องจากมีจำนวนผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีส่วนในการขับเคลื่อน GDP ของประเทศไม่น้อยกว่า 55% (หากรวมเข้ากับผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบภาษีอาจมีมูลค่ามากกว่า 60% ของ GDP เลยทีเดียว)
ทั้งนี้ การจัดตั้งสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภาเอสเอ็มอี) ก็เพื่อให้ผู้ประกอบการมีตัวตน มีโครงสร้างในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง สำหรับเวลาในการดำเนินการร่างจะแล้วเสร็จใน 3 เดือนหลังจากนั้นภาคีเครือข่ายจะเข้าชื่อ 10,000 รายชื่อ เพื่อยื่นเสนอร่างพระราชบัญญัติสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทยต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป



