สหรัฐบีบขึ้นภาษีไทย36% เร่งเจรจาก่อนบังคับใช้ 1 ส.ค.

8 ก.ค. 2568 - 05:11

  • สหรัฐฯ เก็บภาษี 36% เริ่ม 1 สิงหาคม 2568 จากขาดดุลการค้า 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์

  • ไทยเสียเปรียบเวียดนาม 16% เนื่องจากเวียดนามถูกเก็บภาษีเพียง 20%

  • รัฐบาลไทยเสนอลดขาดดุล 70% ใน 5 ปี ยกเลิกภาษีฯ 81% ทันที แต่ยังไม่เพียงพอ

สหรัฐบีบขึ้นภาษีไทย36% เร่งเจรจาก่อนบังคับใช้ 1 ส.ค.

การประกาศใช้ภาษีตอบโต้ 36% ของสหรัฐอเมริกาต่อสินค้าไทยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 สิงหาคม 2568 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าการส่งออกของไทย 55,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 การดำเนินการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ‘America First’ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อแก้ไขขาดดุลการค้าที่สูงถึง 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

การเก็บภาษี 36% และผลกระทบทันที

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ส่งจดหมายชี้แจงเหตุผลถึงสำนักพระราชวังและรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจว่า การขาดดุลการค้า 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติอเมริกา โดยระบุว่าอัตราภาษี 36% นี้ยังถือว่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

อัตราภาษีนี้จะใช้บังคับกับสินค้าทุกประเภทจากไทย แยกออกจากภาษีเฉพาะสาขาที่มีอยู่เดิม พร้อมมาตรการลงโทษเพิ่มเติมหากไทยตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ โดยบริษัทไทยจะได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่ภาคเอกชนไทยกำลังพิจารณาใช้

สินค้าไทยเสียเปรียบคู่แข่งอาเซียน

การเปรียบเทียบอัตราภาษีในภูมิภาคอาเซียนแสดงให้เห็นถึงความเสียเปรียบที่ชัดเจนของไทย เวียดนามถูกเก็บภาษีเพียง 20% ขณะที่มาเลเซีย 25% และอินโดนีเซีย 32% ส่งผลให้สินค้าไทยมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งหลักถึง 16% ในกรณีของเวียดนาม

กิจกรรมการส่งออกหลักที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่า 17,580 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เครื่องจักรและอุปกรณ์ 13,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยางพารา 5,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนที่มีมูลค่าส่งออก 2,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับต้นทุนเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับคู่แข่งเวียดนาม

เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นศูนย์การลงทุนสำคัญของไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากการย้ายฐานการผลิต บริษัทจีนที่ตั้งโรงงานในไทยอาจพิจารณาย้ายไปกัมพูชาหรือเวียดนามเพื่อลดต้นทุนการส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กที่ผลิตสินค้าคุณภาพปานกลางเพื่อตลาดอเมริกา

ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าหากใช้อัตราภาษีเต็ม 36% ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะขยายตัวเพียง 2.3% ขณะที่กระทรวงการคลังเตือนว่า GDP ไทยอาจลดลง 1% หากไม่มีการเจรจาต่อรองที่ประสบความสำเร็จ

ข้อเสนอของรัฐบาลไทยและการเจรจา

รัฐบาลไทยเสนอแผนลดขาดดุลการค้า 70% ภายใน 5 ปีและสร้างดุลยภาพภายใน 7-8 ปี พร้อมมาตรการสนับสนุนที่สำคัญหลายประการ ประกอบด้วย การยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ทันที 81% ของรายการสินค้า การเพิ่มการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากอลาสก้า 2 ล้านตันต่อปี และแผนซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 80 ลำจากการบินไทย

แม้ไทยจะเสนอแผนลดขาดดุลก่อนหมดเขต 9 กรกฎาคม 2568 แต่สหรัฐฯ ยังคงประกาศใช้อัตรา 36% ตามเดิม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่าข้อเสนอของไทยมีความก้าวหน้าแต่ยังไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาขาดดุลการค้าที่เร่งด่วน

ยุทธศาสตร์ภาคเอกชนรับมือภาวะวิกฤต

ภาคเอกชนไทยเร่งปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเตรียมความพร้อมสร้างโรงงานในสหรัฐฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อเสนอ ‘ผลิตในอเมริกาจ่ายศูนย์ภาษี’ บริษัทCG Chemicals และ PTTGC เพิ่มการนำเข้าเอธานอลจากสหรัฐฯ เพื่อช่วยสร้างสมดุลการค้า

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เน้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเจรจาให้ไทยได้รับอัตราภาษีที่ไม่สูงกว่าเวียดนาม เพราะหากเวียดนามถูกเก็บ 20% แต่ไทยถูกเก็บ 36% สินค้าไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างสิ้นเชิง

ผลกระทบระยะยาวและทางเลือกเชิงนโยบาย

การขึ้นภาษีครั้งนี้บังคับให้ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้หลากหลายยิ่งขึ้น การเพิ่มสัดส่วนการค้ากับประเทศ CLMV ที่ถูกเก็บภาษีสูง เช่น ลาว 40% และเมียนมาร์ 40% อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้ การยกระดับสินค้าจากวัตถุดิบเป็นสินค้าสำเร็จรูปมูลค่าสูงและการเร่งเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีทวิภาคีกับสหรัฐฯ เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวที่สำคัญ

หากไทยตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์เตือนว่าจะมีการเพิ่มภาษีซ้ำเติม ทำให้ทางออกที่เหมาะสมคือการเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ 81% ทันทีและทยอยเปิดส่วนที่เหลือเพื่อสร้างดุลยภาพการค้า

การรับมือวิกฤตครั้งนี้เป้าหมายคือ การสนับสนุนการลงทุนในสหรัฐฯ ผ่านข้อตกลงพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี การเปลี่ยนไปยังตลาดใหม่ในกลุ่มอาเซียน และการยกระดับคุณภาพสินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ในขณะที่ไทยเผชิญภาษี 36% วิกฤติครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้ประเทศไทยเร่งการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน หรือจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

usa-open-deal-tax-import-thailand-36-percent-SPACEBAR-Photo V01.jpg
usa-open-deal-tax-import-thailand-36-percent-SPACEBAR-Photo V02.jpg

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์