รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผย หอการค้าไทยได้ประมาณการเศรษฐกิจปี 2567-2568 โดยคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ไว้ที่กรอบ 2.8-3.8% ค่ากลางอยู่ที่ 3% เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 2.6 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ, การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ, การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว และการส่งออก พร้อมกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวและมีเสถียรภาพ
แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าตคาดของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลก, ภาระหนี้ครัวเรือน และหนี้ภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง, ความเสี่ยงจากความผันผวนของภาคเกษตร, ความเสี่ยงจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน และความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ซึ่งหากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทั้งการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มาตรการแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) ให้กับเอสเอ็มอีและภาคครัวเรือน ด้วยการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี รวมถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท รวมมูลค่าประมาณ 165,934 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.3 ของจีดีพี จะช่วยทำให้ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไทยจากปัจจัยภายนอก ‘ลดลงได้’
“เศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตได้ 3% แต่ทำอย่างไรจะให้เศรษฐกิจไทยโต 4-5% ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะหากประเทศไทยยังไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศมีโอกาสที่จะโดนประเทศอื่นในอาเซียนแซงหน้า ไทยอาจจะร่วงจากอันดับ 2 ของอาเซียนลงมาอยู่อันดับ 5 อันดับ 6 ได้”

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายของทรัมป์ 2.0 ได้ประเมินว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจที่จะหายไป 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ โดยเฉพาะการถูกสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไทย โดยเบื้องต้น หากส่งผลกระทบทางตรง จะกระทบต่อการส่งออกไทย ลดลง 1.03% กระทบต่อ GDP ลดลง 0.59% หากกระทบทางอ้อม มีผลกระทบต่อการส่งออกวัตถุดิบ ห่วงโซ่อุปทาน อย่างมาก ทั้งตลาดสหรัฐและจีน
สำหรับปัญหาการเมือง-เสถียรภาพรัฐบาล ที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า เริ่มมีการหยิบยกประเด็น หรือความกังวลที่อาจจะมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลว่าจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ เช่น MOU 44 การยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นต่างๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจมีผลให้มีการออกมาชุมนุมประท้วงได้ และคำวินิจฉัยของศาลอาจมีความสุ่มเสี่ยงต่อพรรคร่วมรัฐบาล และเสถียรภาพของรัฐบาล
อย่างไรก็ดี ถ้ารัฐบาลอยู่ต่อได้ก็ไม่มีปัญหา แต่หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นก่อนที่จะมีงบประมาณแผ่นดิน ปี 2569 จะมีผลต่อการเบิกใช้งบประมาณ ซึ่งก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ แต่นั้นก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
