สงครามยกใหม่ ฉากสุดท้ายพรรคก้าวไกล

1 ก.พ. 2567 - 06:50

  • คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนเป็นสารตั้งต้น

  • จากนี้ไป กระบวนการยุบพรรคก้าวไกล จะเริ่มต้นขึ้น

  • สงครามครั้งนี้ มีความชัดเจน และทุ่มกันหมดหน้าตัก

DEEP-SPACE-economy-move-forward-SPACEBAR-Hero.jpg

หลากหลายมุมมองจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในวันพุธที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา อันเป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล และเอาผิด สส.และอดีต สส. 44 คน ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ที่ร่วมกันเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112

การเมืองไทยต่อจากนี้จะเป็นสงครามยกใหม่ ที่นำไปสู่ฉากสุดท้าย ตอนจบของพรรคก้าวไกล ซึ่งเดินมาถึงจุดที่ ‘สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย’ ดังนั้น ต้องรอดูพรรคสีส้มจะสู้อย่างไร เพื่อออกจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่าง เหมือนกับที่เคยเปลี่ยนจากพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพรรคก้าวไกลเวลานี้

ที่สำคัญจะมีบุคคลากรคนแถวใหม่มีศักยภาพพอมารับไม้ต่อหรือไม่ เพราะเที่ยวนี้ข้อหาใหญ่หลวง ‘ล้มล้างการปกครอง’ ไม่ใช่แค่การให้พรรคกู้เงินไปใช้เหมือนในอดีต

ที่พรรคก้าวไกล เดินมาถึงจุดนี้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็เพราะการรุกแบบไม่ยอมถอย ทั้งการแก้ไขมาตรา 112 ที่ยืนโต้กระแสลมแรงมาตลอด แม้ไม่มีพรรคการเมืองไหนเอาด้วย เช่นเดียวกับการจะยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ก็เป็นพรรคเดียวที่ไม่มีข้อยกเว้นให้กับหมวด 1 หมวด 2 เช่นกัน

ขณะเดียวกัน ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ หรือแม้แต่การออกแบบที่มาสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ก็มีข่าวออกมาในทำนองว่า พรรคก้าวไกล ก็จะ**‘กินรวบ’**ยึดเอาไว้เองทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง หากเป็นการเลือกตั้งแบบเดิมๆ ที่พรรคก้าวไกลทำได้สำเร็จมาแล้ว

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีมาตรา 112 จึงเป็นเสมือนดาบที่ตีไว้และใครจะเอาไปใช้ก็ได้ ซึ่งก็มีผู้นำไปยื่นร้องยุบพรรคก้าวไกลในทันทีเช่นกัน ทำให้ฉากทัศน์การเมืองต่อจากนี้ของก้าวไกล จึงหนีไม่พ้นที่จะถูกยุบพรรค และน่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะเนื้อหาในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ บอกไว้ชัดว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

ผลจากการยุบพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในวันไหน คนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคไม่น้อยกว่า 10 คน ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ส่วน สส.ที่เหลืออยู่ก็ต้องไปหาพรรคใหม่สังกัดภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่นเดียวกับที่ยุบพรรคอนาคตใหม่ในปี2563 

แต่หนนี้จะหนักกว่า เพราะในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุถึงสส.และอดีตสส. 44 คน ที่ร่วมกันเสนอแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดล้มล้างการปกครองด้วย ดังนั้น จึงจะมีการยื่นร้องเอาผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงต่อ ป.ป.ช.ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิตทางการเมือง ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ได้ตลอดไป

นี่คือ ทิศทางการเมืองที่พรรคก้าวไกล กำลังจะพากันเดินก้าวไป ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ซึงเมื่อถึงวันนั้น สส.ก้าวไกลที่มีอยู่ 141 คน ก็อาจจะเหลือไม่ถึง 100 คน เพราะคนที่เป็นสส.บัญชีรายชื่อ เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบ บัญชีรายชื่อก็สิ้นสุดลงด้วย จึงไม่สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาแทนได้อีก

นอกจากนั้น ในจำนวน 44 คน มีบางคนเป็น สส.เขต หากถูกตัดสิทธิการเมืองก็ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมแทน ซึ่งการเลือกตั้งที่มีขึ้นไม่แน่ใจว่าคนของพรรคก้าวไกลเดิม จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาทั้งหมดหรือไม่

แต่ที่แน่นอนคือ ระหว่างนี้ถ้าสภาชุดนี้ยังอยู่ ก็จะเป็นเหมือนสภาชุดที่แล้วคือมีสส.ไม่ครบ 500 คน

เอาเป็นว่า หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีมาตรา 112 จะเกิดเป็นสงครามสองฝ่ายขึ้น ที่ต่างเปิดแนวรบเข้าหากันชนิดที่เป็นการถอนรากถอนโคน ไม่มีคำว่า ‘ตีงูให้หลังหัก’ อีกต่อไป

ทำให้การเมืองไทยต่อจากนี้ จึงเป็นเหมือนสงครามยกใหม่ ที่อาจจะไม่ใช่แค่ฉากสุดท้ายของพรรคก้าวไกลเท่านั้น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์