“เริมขึ้นสมอง! โรคนี้มาจากไหน หมอเตือนพักผ่อนน้อย เครียดหนัก เชื้อซ่อนในร่างกาย ภูมิต้านทานตก อาจลุกลาม แนะพักผ่อนเพียงพอ ลดเครียด ออกกำลังกาย ลดเสี่ยงโรค”
โพสต์ในโซเชียลมีเดียของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ่านแวบแรกก็รู้ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวคนวัยทำงาน และทำให้เราย้อนกลับมานึกถึงคำว่า “Work-Life Balance” คำฮิตติดหูที่ได้ยินบ่อยมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของ Good Health and Well-being
เมื่อ “เริม” ไม่ใช่แค่แผลที่ปากอีกต่อไป
ความเครียด การทำงานหนักมากเกินไป และการพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ใช่แค่ทำให้เราเหนื่อยล้า แต่ยังทำให้เราภูมิตก ร่างกายอ่อนแอ เกิดเป็น “เริม” ที่หลายคนอาจเคยเป็นที่ปาก ที่ใบหน้า แต่ล่าสุดมีข่าว “เริมขึ้นสมอง” ที่ถูกแชร์โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือที่เรารู้จักกันดีว่า สสส. ซึ่งกล่าวถึงกรณีศึกษาของ หมอประชาผ่าตัดสมอง-นายแพทย์ประชา กัญญาประสิทธิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมประสาท ที่ยกเคสผู้ป่วยหญิงเริมขึ้นสมองเพราะเครียด พักผ่อนน้อย พร้อมเตือนระวังอันตรายถึงตาย
โดยมีใจความสำคัญว่า “เริม” กับ “งูสวัด” เป็นหอกข้างแคร่ เมื่อไหร่ที่ร่างกายเราอ่อนแอมันก็จะเห่อขึ้นมา หากขึ้นสมองอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ผู้ป่วยหญิงอายุ 65 ปี มาด้วยอาการไข้ต่ำๆ มา 3 วัน และมีอาการซึงลงเรื่อยๆ ญาติจึงพาส่งโรงพยาบาล CT scan พบว่ามีช่องน้ำเลี้ยงสมองโตมาก โดยได้ทำการผ่าตัดระบายเอาน้ำเลี้ยงสมองออกและส่งตรวจ พบว่าเป็น “เชื้อเริม” หรือ “เชื้องูสวัด” ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชอบแอบซ่อนอยู่กับเส้นประสาทของเรา เมื่อไหร่ที่ภูมิต้านทานเราต่ำ เครียด นอนดึก ทำงานมาก ไม่ได้พักผ่อนมันก็จะเห่อขึ้นมา เคสนี้ภูมิต้านทานน่าจะไม่ดีมากๆ จึงขึ้นสมองและทำให้สมองอักเสบ เมื่อช่องน้ำเลี้ยงสมองอักเสบก็จะสร้างน้ำเลี้ยงสมองมากกว่าปกติ
หมอจึงแนะนำการป้องกันโรคนี้คือ หมั่นทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทาน มีภูมิคุ้มกันดี ออกกำลังกาย ไม่เครียด เพราะความเครียดจะกดภูมิต้านทาน

Work-Life Balance พัง! อันตรายตายผ่อนส่ง
คำว่า “เริมขึ้นสมอง” ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนเรื่องเกินจริง แต่มันคือเรื่องจริงแบบที่หมอประชาบอกไป แค่เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ Work-Life Balance พัง เชื้อเริมที่แฝงอยู่ในร่างกายของเราอาจจะฉวยโอกาสนี้ลุกลามไปถึงสมอง ซึ่งผลที่ตามมาคือ ภาวะสมองอักเสบที่อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
ย้อนไปทำความเข้าใจเรื่อง Work-Life Balance
“Work-life balance” คือความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่งถูกมองว่าเป็น “กุญแจ” สู่วิถีชีวิตที่มีสุขภาพทั้งกายและใจที่ดี โดยหลักๆ ก็เป็นแนวคิดที่ลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ทะลายกำแพง “Work Hard” ที่ Work-ไร้-balance จนร่างพังและไม่ยั่งยืน ด้วยการเพิ่มมิติของการพักผ่อน ดูแลสุขภาพ หรือทำกิจกรรมที่ชอบเข้าได้ด้วย
ทำไม Work-Life Balance ถึงสำคัญ?
สังคมปัจจุบัน การทำงานกลายเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าทำงานมากเกินไปจะนำไปสู่ความเครียดสะสมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
รายงานที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) พบว่าการทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจขาดเลือดทั่วโลก ปีละ 745,000 คน

6 สัญญาณบ่งบอกว่า Work-Life Balance ของเราพัง
- ไม่มีเวลาให้ตัวเอง ทุ่มเทเวลาให้กับงานจนลืมออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ชอบ
- งานล้นมือ งานเก่าและใหม่สะสม จนไม่สามารถจัดการตารางเวลาได้
- อารมณ์แปรปรวน ความเครียดสะสมทำให้คุณหงุดหงิดและวิตกกังวล
- เบื่องาน ขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน เพราะทำงานหนักจนพักผ่อนไม่พอ
- คิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ กังวลว่าจะทำงานไม่ดีพอ จนทำให้หมกมุ่นกับงานมากเกินไป
- รู้สึกโดดเดี่ยว การทำงานมากเกินไปทำให้เราขาดเวลาในการติดต่อกับคนรอบข้าง
Good Health and Well-being: เมื่อนิยามของ “สุขภาพดี” ไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างกายแข็งแรง
แนวทางการสร้าง Work-Life Balance เพื่อส่งเสริม Well-Being
- จัดลำดับความสำคัญของงานให้เป็น โดยทำ เร่งด่วนและสำคัญ > สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน > เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ > ไม่เร่งด่วนและไม่สำคัญ เพื่อให้งานสำคัญสำเร็จ และลดงานค้างสะสม
- กำหนดขอบเขตเวลาทำงาน พยายามตั้งเวลาที่ชัดเจนสำหรับการทำงานและการพักผ่อน และพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานเกินเวลาหรือพกงานกลับบ้าน
- กล้าปฏิเสธและขอความช่วยเหลือ ถ้างานเยอะเกินไป อย่าลืมขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานบ้าง
- ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน หรือเคารพเวลาพักผ่อน โดยใช้เวลาสำหรับการผ่อนคลายให้เต็มที่ เช่น การออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้จิตใจสงบ
- สร้างกิจกรรมที่มีความหมาย การทำสิ่งที่รักหรือการทำงานอาสาสมัครจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตและทำให้รู้สึกดี
- รักษาความสัมพันธ์ที่ดี ใช้เวลาคุณภาพกับครอบครัว เพื่อน และคนที่เรารัก ซึ่งจะช่วยเติมเต็มอารมณ์และจิตใจ

ไม่ใช่แค่ธรรมชาติที่ต้องการสมดุลที่ดี แต่เราก็ต้องมี Work-Life Balance
ยุคนี้เราไม่ได้แค่ต้องทำงานให้ดี แต่ต้องดูแล “สุขภาพจิต” และ “สุขภาพร่างกาย” ของเราให้ดี การมี Work-Life Balance จึงไม่ได้แค่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่ม Well-Being Lifestyle ที่ยั่งยืนและมีความสุขในชีวิต
ตอนนี้พร้อมหรือยังที่จะกลับมาจัดการ Work-Life Balance ของตัวเองให้ดี?