พรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าจะมีการปรับครม.เกิดขึ้นกันตอนไหน กี่โมง ภายในเดือนมิถุนายน ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาเดือนกรกฎาคม หรือจะลากยาวไปไกลกว่านั้น เพราะนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ยังอยู่ในช่วงประเมิน คิดไม่ตกจะปรับแบบไหน
คงต้องรอให้สะเด็ดน้ำกันทุกฝ่าย ตอนนี้ก็ดูโผรายวันไปก่อน
แต่สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มีปัญหาภายใน ‘คุกรุ่น’ กันมานาน และเกิดแรงกระเพื่อมอย่างหนักในช่วงที่มีข่าวการปรับครม.เกิดขึ้น ถึงขนาดงัดเอาข้อบังคับพรรคฉบับแก้ไขใหม่ ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ไม่กี่วันออกมาขู่กันเลย
โดยเฉพาะข้อ 53 ที่ระบุว่า
สมาชิกภาพของสมาชิกพรรคสิ้นสุดลง เมื่อผู้นั้นขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคในกรณี...ซึ่งมีสาระสำคัญที่นำมาปรามสส.พรรคไม่ให้แตกแถวอยู่ใน 2 วงเล็บ คือ
(6) ฝักใฝ่พรรคการเมืองอื่นหรือสนับสนุนผู้สมัครในตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ที่ไม่ใช่ของพรรคการเมือง
(7) กระทำการใดที่ทำให้เกิดความแตกแยกหรือความเป็นเอกภาพในพรรคการเมือง หรือการบริหารพรรคการเมือง รวมทั้ง สนับสนุนหรือส่งเสริมการกระทำเช่นว่านั้น
ทันทีที่มีการงัดข้อบังคับพรรคข้อดังกล่าว ซึ่งมีผลบังคับใช้และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ออกมาเปิดเผยและเป็นข่าว ทำให้สื่อพร้อมใจจับประเด็นไปในทางเดียวกัน บ้างบอกเป็นการ ‘ย้อนเกล็ด’
บ้างบอกงานนี้ก๊วน ‘เสี่ยเฮ้ง’ สุชาติ ชมกลิ่น มีหนาวแน่ๆ
อารมณ์ประมาณว่า ข้อบังคับพรรคฉบับแก้ไขใหม่นั้น เป็นความชาญ ‘ฉลาด’ ของหัวหน้าพรรค ที่เป็นกูรูด้านกฎหมาย ได้เล็งเห็นถึงอนาคตล่วงหน้าว่า ในวันหนึ่งต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น จึงแก้ไขดักทางเอาไว้ก่อน
ประมาณว่า ความเป็นสมาชิกพรรคต้องสิ้นสุดลงอัตโนมัติ เหมือนพระเสพเมถุน ต้องอาบัติปาราชิกทันที ทำนองนั้น
แต่น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างแรง เพราะการพ้นจากสมาชิกพรรค ที่จะนำไปสู่การสิ้นสุดความเป็นสส.ลงโดยปริยายนั้น ไม่มีอยู่ในสาระบบของรัฐธรรมนูญไทย
ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9) กำหนดการสิ้นสภาพของสส.เอาไว้ว่า เมื่อพ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก ตามมติของพรรคการเมืองนั้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.ที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น
“ในกรณีเช่นนี้ ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้น มิได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่พ้น 30 วันดังกล่าว”
หัวใจสำคัญอยู่ที่ข้อความตอนท้าย ที่เปิดโอกาสให้สส.ที่ถูกพรรคการเมืองมีมติขับออก ไปหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 30 วัน ดังนั้น กรณีของสส.ก๊วน ‘เสี่ยเฮ้ง’ การจะพ้นจากสมาชิกภาพสส.ก็ต้องยึดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (9)
ไม่ใช่ข้อบังคับพรรคฉบับแก้ไขที่พูดถึงกัน!!
และดีไม่ดีข้อบังคับพรรคที่ว่าเขียนดักทางเอาไว้นั้น อาจไม่มีผลทางกฎหมายด้วยซ้ำ เพราะขัดกับทั้ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง และขัดกับรัฐธรรมนูญ
ขืนทะเลอทะล่ามีมติขับออกด้วยเหตุแห่งการฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคทั้งสองวงเล็บข้างต้น ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงหนอง เข้าทางกลุ่มเสี่ยเฮ้งพอดี เพราะบ่นเบื่อที่อาศัยบ้านเขาอยู่มานานแล้ว
แต่สำหรับ รทสช.ชั่วโมงนี้ คงถึงเวลาที่ต้องนับถอยหลังจริงๆ กันแล้วล่ะ เพราะการก่อกำเนิดของพรรคนี้ เกิดจากภารกิจหนุน ‘ลุงตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
แต่เมื่อคะแนนกว่า 4 ล้านเสียง ที่ได้มาในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ไม่เพียงพอให้ลุงตู่ หวนคืนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกคำรบได้ และลุงตู่ก็ออกจากเวทีการเมืองไปรับตำแหน่งใหญ่แล้ว
รทสช.กับความเป็นพรรคของลุงตู่ จึงสิ้นสุดภารกิจลงนับตั้งแต่วันนั้น ส่วนที่ยังดำรงตนอยู่ได้ในทุกวันนี้ ก็เพราะ ‘บุญเก่า’ ที่ลุงตู่สร้างสมเอาไว้ให้ แต่ตอนหลังแม้แต่ DNA ที่เคยอวดอ้างว่าเป็นของลุงตู่ ก็ยังไม่สามารถถนอมรักษาเอาไว้ได้
ดังนั้น สถานการณ์ต่อจากนี้ของ รทสช.จึงเป็นการนับถอยหลัง รอการรูดม่านปิดฉากลงอย่างถาวร อันดับแรกเลยต้องรอดูว่า จะยังได้อยู่เป็น ‘พรรคร่วมรัฐบาล’ ต่อหรือไม่ หรืออยู่แบบไหน ในการปรับครม.ที่กำลังจะมีขึ้น
ลำดับถัดมาในภาวะระส่ำของ รทสช.ที่ไม่มีใครเป็นหลักชัยให้ในเวลานี้ อีกทั้งผลงานในครม.-สภา ไม่มีอะไรเป็นที่ประจักษ์พอจะจับต้องได้
ในยามที่ลูกพรรคเตรียม หอบผ้าหนี นายทุนทิ้ง แม่ทัพขายไม่ได้ บุญใหม่ไม่สร้าง แถมบุญเก่าก็ร่อยหรอ
เลือกตั้งเที่ยวหน้า คงไม่ต้องเสียเวลาคิดนานว่า รทสช.จะยังอยู่ในสนามเลือกตั้งอีกหรือไม่?