สงครามส่งด่วน ถึงเวลา‘ตั้งแถวใหม่’?

1 มิ.ย. 2568 - 10:48

  • เปรียบเทียบธุรกิจรับส่งพัสดุของจริงกับซี่รี่ส์

  • ตัวเลขประมาณการของธุรกิจปีละกว่า 1 แสนล้านบาท

  • ผู้ประกอบการเข้าสู่ธุรกิจนี้มากกว่า 30 บริษัท

สงครามส่งด่วน ถึงเวลา‘ตั้งแถวใหม่’?

ธุรกิจรับส่งพัสดุมูลค่าตลาดมากกว่าปีละ 1 แสนล้านบาท  จากการเติบโตของตลาดออนไลน์  พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การแข่งขันก็รุนแรง  ตัวเลขที่รวบรวมได้มีบริษัทที่เปิดบริการรับส่งพัสดุมากกว่า 30 บริษัท มีทั้งรายใหญ่ และรายเล็ก  ๆ  ได้เวลาตั้งแถวใหม่หรือยัง?


สงครามส่งด่วน (Mad Unicorn) เป็นซีรีส์ที่ฉายทาง Netflix เล่าเรื่องราวของสตาร์ทอัพขนส่งพัสดุด่วนที่ต้องต่อสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของ Flash Express สตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวแรกของประเทศไทย


 สิ่งที่น่าสนใจคือการแข่งขันในตลาดส่งพัสดุที่เกิดขึ้นจริง  รายละเอียดเพิ่มจากจากในซี่รี่ส์ ผู้ประกอบการขนส่งพัสดุด่วนในประเทศไทยมีผู้เล่นหลักหลายราย   


 -ไปรษณีย์ไทย  เจ้าตลาดเดิม ทำมานาน ฐานข้อมูลแน่น  เครือข่ายพร้อม ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 23.5%

-Kerry Express ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น KEX Express ผู้เล่นรายใหญ่ที่เคยครองตลาดถึง 20.1%

-Flash Express สตาร์ทอัพยูนิคอร์นที่เติบโตอย่างรวดเร็วส่วนแบ่งตลาดประมาณ 17.4%

-DHL. ผู้เล่นระดับโลก ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 16.5%

-J&T Express. จากอินโดนีเซียที่เข้ามาแข่งขันอย่างดุเดือด ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 13.9%

-Lazada Logistics  และ Shopee Express ขนส่งที่เป็นของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่รุกตลาดอย่างรวดเร็ว เหมือนกับขายพ่วงในการสั่งซื้อสินค้า  เริ่มมีส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น. ผู้ประกอบการรายอื่นเปิดตัวตามมา


 การแข่งขันในตลาดขนส่งพัสดุด่วนของไทยมีความรุนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านราคา ซึ่งส่งผลให้หลายบริษัทประสบภาวะขาดทุน ข้อมูลผลประกอบการล่าสุดในปี 2566 แสดงให้เห็นว่า

 Flash Express  ขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ปี 2566 มีรายได้ 20,093 ล้านบาท ขาดทุน 559 ล้านบาท

Kerry Express (KEX)  ขาดทุนต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ขาดทุนประมาณ 3,880. ล้านบาท

J&T Express ที่เคยทำกำไรได้ในปี 2565 กลับขาดทุนมากถึง 7 พันล้านบาทในปี 2566

ไปรษณีย์ไทย พลิกกลับมามีกำไรในปี 2566 หลังขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปี

Lazada Logistics และ Shopee Express ยังคงทำกำไรได้ต่อเนื่อง


ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจขนส่งพัสดุด่วนประสบความสำเร็จได้ 

 การเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Lazada Logistics และ Shopee Express สามารถทำกำไรได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากมีฐานลูกค้าจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของตัวเอง


 การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  ในสภาวะที่มีการแข่งขันด้านราคาสูง การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ

 การนำเทคโนโลยีมาใช้  การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและให้บริการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน

 การมีเครือข่ายที่ครอบคลุม การมีเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศช่วยให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง


 ปี 2568 ตลาดขนส่งพัสดุในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.15 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องที่ 18% ตามการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้หลายบริษัทประสบปัญหาขาดทุน และบางบริษัทต้องปิดกิจการหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อความอยู่รอด

บริษัทรับส่งพัสดุตั้งแต่เริ่มต้น มาจนถึงเวลานี้  มีประมาณ 35 บริษัท  มีทั้งรายเล็ก รายใหญ่  ทั้งในประเทศ และต่างประเทศที่เข้ามาเปิดบริการ  และเครือซิเมนต์ไทยก็เคยเปิด SCG Express รับส่งพัสดุด้วย  แต่สุดท้ายก็ยกเลิกบริการนี้ไป  บางชื่อ  บางแบรนด์อาจไม่คุ้นเคย แต่มีหลายแบรนด์ให้เลือกใช้  ขึ้นอยู่กับค่าส่ง และบริการ


บทสนทนาในซี่รี่ส์ในช่วงเปิดเรื่อง  พูดถึงการหาธุรกิจใหม่ ๆ  โดยให้นิยามว่า ‘ไปตั้งแถวใหม่’


เวลานี้อาจจะประเมินได้ว่า หางแถวของธุรกิจนี้ยาวมาก  แต่ยังไม่มีใครกล้าออกจากแถว วิ่งมาตั้งแถวใหม่  ถ้าตลาดใหญ่พอแบ่งปัน  ธุรกิจนี้ก็จะเดินต่อไป  หากถึงเวลาที่ธุรกิจนี้ถดถอยลง ไม่พอแบ่ง ก็อาจจะมีการตั้งแถวใหม่เกิดขึ้น

 

สงครามส่งด่วน เป็นซีรีส์นี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Netflix และ GDH สามารถชมได้ทาง Netflix ความยาว 7 ตอนจบ


Screenshot 2568-06-01 at 17.12.32.png


Screenshot 2568-06-01 at 17.12.47.png


Screenshot 2568-06-01 at 17.12.56.png

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์