จากกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าในสหรัฐทุกประเภท 10% และจะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับหลายประเทศ พบว่า ไทยถูกเก็บภาษีถึง 36%
สันติธาร เสถียรไทย นักยุทธศาสตร์แห่งอนาคต อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีและภาคการเงินระดับโลก โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก (3 เมษายน 2568) ระบุว่า รัฐบาลอเมริกาเพิ่งประกาศกำแพงภาษีครั้งใหญ่ที่เปรียบเสมือนเป็น ‘แผ่นดินไหว’ ช็อคการค้าไปทั้งโลกก็ว่าได้
ทุกประเทศโดนภาษีอย่างน้อย 10% อีก 60 ประเทศโดนภาษีหมัดสวน (reciprocal tariff) ที่ประเทศไทยจะโดนถึง 36% สูงกว่าหลายประเทศ
“อาฟเตอร์ช็อคของมาตราการครั้งนี้อาจจะรุนแรงและซับซ้อน เพราะว่า หลายประเทศอาจเลือกที่จะใช้ไม้แข็งตั้งกำแพงภาษีกลับ สู้กันไปมา ทำให้การค้าโลกโดยรวมทรุดกว่าที่คิด บางประเทศอาจเสี่ยงตกเข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ความเสี่ยงของอเมริกาเองก็เพิ่มขึ้น) ทำให้เมื่อตลาดอเมริกาเหมือนจะกลายเป็น เมืองล้อมด้วยกำแพง ที่สินค้าเข้าไม่ได้หรือยากขึ้น ทุกประเทศก็จะคิดคล้ายๆ กันคือต้องส่งออกไปตลาดอื่น ดังนั้นการแข่งขันจะเข้มข้นขึ้นทั้งสำหรับการส่งออกของไทยในตลาดที่ 3 และสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ อาจทะลักเข้ามาในไทยมาขึ้น”
เดิมการลงทุนที่ไทยได้จากการหลบเลี่ยงสงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ อาจชะงักหรือชะลอเพราะตอนนี้ไทยเองก็โดนภาษีในระดับสูงเช่นกัน (แม้ว่าเวียดนามขะโดนมากกว่า)
แน่นอนว่า ยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายอย่าง เช่นว่ากำแพงภาษีทั้งหมดนี้เจรจาได้แค่ไหน แต่ความไม่แน่นอนนี่เองก็จะทำให้ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกต้องหยุดเพื่อรอดู ปรับแผน มีผลลบกับเศรษฐกิจการลงทุนทันที
“ตอนนี้ยังฝุ่นตลบผมจะพยายามคอยเอาบทวิเคราะห์ดีๆมาแปะไว้ด้านล่างด้วย แต่สำหรับผมเชื่อว่านี่คือ ‘แผ่นดินไหวทางการค้าโลก’ ที่มีผลกระทบต่อไทยอย่างมาก (และมากกว่าที่คนส่วนใหญ่เคยคิดกัน) แน่นอน
ส่วนตัวจึงมองว่าจำเป็นต้องมี War Room ทีมพิเศษที่มีทั้งภาครัฐและเอกชนเตรียมรับมือเรื่องนี้และให้เป็นเรื่องเร่งด่วนพิเศษ”
ธุรกิจต่างๆ เองก็คงต้องเตรียมรับมือแรงกระแทกและปรับกลยุทธ์หาโอกาสในวิกฤตเช่นกัน เพราะช็อคครั้งนี้อาจไม่ใช่กระแทกระยะสั้นแต่จะมีผลปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจการค้าโลกระยะยาวด้วย
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ