‘SCB CIO’ ชี้ภาษี 55% ของสหรัฐฯ กระทบตลาดโลก – ไทยยังพอได้เปรียบ แต่ต้องเร่งเจรจาลดอัตรา

12 มิ.ย. 2568 - 09:25

  • สหรัฐฯ กดภาษีนำเข้าจีน 55% ทำเงินเฟ้ออาจพุ่ง

  • เฟดอาจ “เลื่อนลดดอกเบี้ย” ไปไตรมาส 4 หรือปีหน้า

  • ไทยมีโอกาสได้เปรียบ แต่ต้องเร่งเจรจาลดภาษีกับสหรัฐฯ

‘SCB CIO’ ชี้ภาษี 55% ของสหรัฐฯ กระทบตลาดโลก – ไทยยังพอได้เปรียบ แต่ต้องเร่งเจรจาลดอัตรา

ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant แห่ง SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยรายการ FIRST UP ทางเพจ SPACEBAR ว่า ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 55% ต่อสินค้าจากจีน จะไม่สามารถผลักต้นทุนให้กับจีนฝ่ายเดียวได้ และมีแนวโน้มจะกระจายผลกระทบไปยังผู้บริโภคอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในที่สุดอาจกดดันเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้น

“อัตรา 55% มันสูงเกินกว่าที่จีนหรือผู้นำเข้าจะรับไว้ฝ่ายเดียวได้ ต้องมีการแบ่งผลกระทบมายังผู้บริโภคในสหรัฐฯ แน่นอน และถ้าเงินเฟ้อพุ่ง การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในครึ่งปีหลังคงต้องเลื่อนออกไป” – ชาตรีกล่าว

เฟดลดดอกเบี้ยหรือไม่? ปัจจัยใหม่คือ “สงครามภาษี”

แม้ในช่วงต้นปี 2568 ตลาดจะคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่การประกาศภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในระดับสูงถึง 55% ของรัฐบาลสหรัฐฯ ล่าสุด กลับกลายเป็นปัจจัยใหม่ที่อาจ หนุนให้เงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าเฟดมองว่าภาษีใหม่นี้จะส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ก็มีโอกาสสูงที่เฟดจะชะลอการลดดอกเบี้ยออกไป โดยเฉพาะถ้าเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ยังไม่ลงมาตามเป้า” – ชาตรีวิเคราะห์

ในมุมมองของ SCB CIO การลดดอกเบี้ยอาจไม่เกิดขึ้นตามคาดในช่วงไตรมาส 3/2568 และมีโอกาสที่เฟดจะยืดเวลาการผ่อนคลายนโยบายการเงินไปถึงไตรมาส 4 หรือแม้แต่ต้นปี 2569 หากปัจจัยเงินเฟ้อจากฝั่งอุปทานยังคงร้อนแรง

ตลาดหุ้นไทยได้เปรียบ แต่ยังไม่บวกเต็มรูปแบบ

สำหรับประเทศไทย แม้อัตราภาษีนำเข้าจากไทยจะอยู่ที่ประมาณ 36% ซึ่งยังต่ำกว่าจีน แต่ก็ยังถือว่าเป็น ระดับที่ค่อนข้างสูง โดยคุณชาตรีมองว่า หากไทยสามารถเจรจาให้อัตราภาษีลดลงได้ จะส่งผลบวกต่อการลงทุนโดยตรง และถือเป็นโอกาสของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว

“ถ้าไทยต่อรองได้ให้อัตราภาษีลดลงมาอยู่ในระดับ 10-15% แบบที่เคยเป็น ก็จะเป็นจุดแข็งในสายตานักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหาฐานการผลิตใหม่แทนจีน”

กลยุทธ์จัดพอร์ตครึ่งหลังปี 2568: จับตา “ตลาดเกิดใหม่” และ “หุ้นเกาหลีใต้”

SCB CIO แนะนำให้นักลงทุนมองไปยัง ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีโอกาสเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ในเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น เวียดนาม อินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะ “เกาหลีใต้” ที่กำลังได้แรงหนุนจากประธานาธิบดีใหม่ และมีโอกาสจากภาคอุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์ หากข้อจำกัดการส่งออกระหว่างจีน-สหรัฐฯ ผ่อนคลาย

“เกาหลีใต้ตอนนี้ Valuation ถูก PE ต่ำกว่า 10 แถมได้อานิสงส์จากการคลายกฎส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ผมมองว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าจับตาในระยะกลางถึงยาว”

ทองคำยังน่าลงทุนในระยะยาว รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ส่วนสินทรัพย์อย่างทองคำชาตรีกล่าวว่า แม้สงครามการค้าจะเริ่มผ่อนคลาย แต่ “ทองคำ” ยังคงเป็น สินทรัพย์ที่น่าสะสม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจาก ความไม่แน่นอนทางการคลังของสหรัฐฯ และการสะสมทองคำของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน

“ระดับราคาทองต่ำกว่า 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือว่าน่าสนใจสำหรับการทยอยสะสม และในระยะยาวยังมีโอกาสเห็นราคาไปถึงระดับ 3,800 - 4,000 ดอลลาร์ได้ หากเงินหยวนดิจิทัลถูกหนุนด้วยทองคำในระบบ” – ชาตรีกล่าวทิ้งท้าย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์