ตลาดหุ้นไทยยังต้อง ‘ระวัง’ ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว - แนะกลยุทธ์ลงทุนเน้นคุณภาพ หุ้นดี กำไรเด่น

20 พ.ค. 2568 - 09:47

  • ตลาดหุ้นไทยเข้าโหมดพักฐาน หลัง GDP อ่อนแอ - แนวรับสำคัญ 1,172 จุด ระวังเป็นเพียงการรีบาวด์ชั่วคราว

  • กำลังซื้อในประเทศถดถอยชัดเจน - การเปลี่ยนจาก "เงินดิจิทัล" เป็นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกระทบกลุ่มค้าปลีก CPALL, BJC, CRC

  • โมเดลคัดหุ้นคุณภาพในภาวะผันผวน แนะ 5 หุ้นเด่น KBANK, ADVANC, LH, IVL, ITC - มองกลยุทธ์ GULF ถือหุ้น KBANK เล็งสร้าง FinTech Ecosystem ใหญ่

หุ้นไทยเข้าสู่โหมดพักฐาน หลัง GDP อ่อนแรง-เงินเฟ้อกดดัน

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการ FIRSR UP ทางเพจ SPACEBAR ถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ว่า กำลังอยู่ในช่วงพักฐาน (Correction) หลังจากทำจุดสูงที่ 1,231 จุด โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1,172 จุด แม้ตลาดจะมีการฟื้นตัวในระยะสั้น แต่นักลงทุนควรระมัดระวังเนื่องจากอาจเป็นเพียงการรีบาวด์ชั่วคราวหลังจากตลาดปรับตัวลงแรงในวันก่อนหน้า ยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน

 

กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

มงคล กล่าวถึงตัวเลข GDP ที่ประกาศออกมาล่าสุดสะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อในประเทศกำลังอ่อนแอลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในภาคการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตเพียง 1.5% เทียบกับปีก่อนหน้าที่เติบโตถึง 5.5%

"การปรับเปลี่ยนนโยบายจากการ 'แจกเงินดิจิทัล' 1.5 แสนล้านบาท มาเป็นการลงทุนในโครงการต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการท่องเที่ยว มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในแง่บวกคือเม็ดเงินจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนมากกว่า แต่ในแง่ลบคือกลุ่มค้าปลีกและบริโภคอาจเสียโอกาสจากการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะสั้น" มงคล กล่าว

บริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ CPALL, BJC และ CRC อย่างไรก็ตามชี้แจงว่ายังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้อย่างชัดเจน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าเงินจากนโยบายเดิมจะไหลเข้าสู่กลุ่มค้าปลีกมากน้อยเพียงใด

 

ความเสี่ยงจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตาม โดยข้อเสนอของไทยอยู่ในรูปแบบ 'Non-Tariff' เช่น การขอความร่วมมือ ไม่ใช่การซื้อสินค้าอย่างชัดเจน

"ความเสี่ยงหลักคือหากการเจรจาไม่ลงตัว สหรัฐฯ อาจตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากไทยภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา และอาหาร" มงคล กล่าว

 

มูดี้ส์ลดเรตติ้งรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลกระทบระยะสั้น

มงคล กล่าวถึงกรณีที่มูดี้ส์ประกาศลดเรตติ้งรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้สร้างความตกใจให้กับตลาดมากนัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้ว

"ตลาดมีปฏิกิริยาในระยะสั้นเพราะโปรแกรมเทรดอัตโนมัติ (Algo Trading) ไม่ใช่เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงทันที อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงในระยะกลางยังคงมีอยู่ เช่น หนี้บัตรเครดิต เงินเฟ้อสูง และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนแรง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสถาบันทยอยลดการลงทุนในสหรัฐฯ" มงคลอธิบาย

 

 'คัดหุ้นคุณภาพ' ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน

 

ส่วนกลยุทธ์ในการลงทุน มงคลกล่าวว่า ทางทีม บล.ดาโอ ได้พัฒนาระบบ Stock Analysis เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูง โดยใช้เกณฑ์ 3 ด้านหลัก ได้แก่

 1. Stochastic ต่ำ – เน้นหุ้นที่ราคาปรับฐานลงมาระดับล่าง

 2. Dividend Yield สูงกว่า 3% – เพื่อลดความเสี่ยงและรับเงินปันผลระหว่างรอการฟื้นตัว

 3. แนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่อง 3 ปีข้างหน้า

 

จากการรันโมเดลดังกล่าวได้หุ้นเด่นมา 5 ตัว ได้แก่  KBANK, ADVANC, LH, IVLและ ITC

 

KBANK – ดาวเด่นที่น่าจับตา

หนึ่งในหุ้นที่ถูกเลือกเข้าพอร์ตคือ เคแบงก์ (KBank) โดยมองว่าการที่กลุ่มกัลฟ์ หรือ GULF Energy เข้ามาถือหุ้นนั้น ไม่ใช่เพียงการลงทุนเพื่อหวังเงินปันผล แต่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวในการสร้างความร่วมมือระหว่าง Tech Company กับ Digital Banking

“GULF ไม่ได้มองแค่ Return 6-7% เขามองมากกว่านั้น… เราเห็นภาพเดียวกันตอนเขาลงทุนในอินทัช และเราคิดว่าเขาอาจกำลังสร้าง Ecosystem ที่ผสานพลังระหว่างเทคโนโลยีกับภาคการเงิน”

 มงคลมองว่าหากการ Synergy ระหว่าง GULF และ KBank เดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นการต่อยอดสู่การสร้าง FinTech Ecosystem ขนาดใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนภาพของการธนาคารไทยในอนาคต

 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์