นักกลยุทธ์ CGS-CIMB ชี้ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงา คาดการเมืองยังเป็นโอเวอร์แฮงค์กด SET แนะระวังการปรับครม. ชี้กรณีเลวร้ายดัชนีอาจลง 1,100 หากยุบสภา
ตลาดหุ้นไทยเปิดเงียบเหงา รอติดตามสงครามการค้า
กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน CGS-CIMB Securities เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเปิดมาค่อนข้างเงียบเหงา แม้ว่าทั่วโลกจะติดตามการเจรจาสงครามการค้าและการเก็บภาษีระหว่างสหรัฐกับยุโรป
"ล่าสุดทรัมป์ประกาศเลื่อนเก็บภาษียุโรปจาก 1 มิถุนายนเป็น 9 กรกฎาคม ทำให้ตลาดอเมริกามีตอบรับเชิงบวกผ่านดาวโจนส์ฟิวเจอร์ในเอเชีย และนิกเกอิปรับบวก แต่สำหรับไทยดูค่อนข้างนิ่งเพราะตลาดเริ่มรับรู้แล้วว่านโยบายมีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีความเสถียร ทำให้ความผันผวนจะอยู่กับเราต่อเนื่องคล้ายกับปี 2018" กรรณ์ กล่าว
การเมืองไทยเป็นปัจจัยสำคัญ รอโหวตงบประมาณ
กรรณ์ชี้ว่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ขึ้นลงเพราะปัจจัยต่างประเทศมากนัก แต่จะเป็นปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการเมืองและร่าง พรบ.งบประมาณที่จะมีโหวตวาระหนึ่งปลายเดือนนี้
"งบประมาณรายจ่ายประจำปีเปรียบเสมือนท่อน้ำเลี้ยงของประเทศ การไม่ผ่านไม่ใช่สิ่งที่ตลาดคิด แต่คิดว่าน่าจะผ่านได้ สิ่งที่น่าจะมีปัญหาคือโครงการอื่นๆ เช่น การกู้ พรก.ฉุกเฉิน หรือ พรก.อื่นๆ 500,000 ล้านบาท"
กรรณ์เสริมว่า แม้การเมืองระหว่างพรรคสีแดง-สีน้ำเงินจะงัดกันแรงพอสมควร แต่ตลาดคิดว่างบประมาณน่าจะผ่าน โดยมองกรอบ SET อยู่ที่ 1,170-1,200 จุด แต่ไม่น่าผ่าน 1,200
วิเคราะห์สถานการณ์การเมือง 3 กรณี
กรรณ์นำเสนอการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองเป็น 3 กรณี:
กรณีเลวร้ายที่สุด: ยุบสภา
- ดัชนี SET อาจลงมาประมาณ 1,100 จุด (PE ประมาณ 13 เท่า)
- แต่โอกาสเกิดขึ้นน้อย เพราะผู้ที่อยู่ในอำนาจไม่อยากเสียอำนาจ
กรณีรองลงมา: ภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วม
- มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่า เพราะเป็นสไตล์ที่เคยทำมาแล้ว
- มีฐานเสียงประมาณ 60-70 เสียง
กรณีเบสเคส: การปรับครม.
- น่าจะเกิดขึ้นมากที่สุด
- หากปรับครม.สำเร็จ หุ้นน่าจะกลับไป 1,200 ได้ไม่ยาก
ความขัดแย้งภูมิใจไทย-เพื่อไทย
กรรณ์อธิบายว่า ความไม่ลงรอยกันระหว่างภูมิใจไทยกับเพื่อไทยมีหลายประเด็น:
1. Entertainment Complex
2. เรื่องกัญชา - เพื่อไทยอยากให้เป็นยาเสพติด
3. ค่าแรง - เพื่อไทยอยากขึ้นตามที่หาเสียงไว้ แต่ภูมิใจไทยคุมกระทรวงแรงงาน
ปัญหาโครงสร้างตลาดหุ้นไทย
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับปัญหา High Frequency Trading และสภาพคล่องตลาด กรรณ์ตอบว่า:
"มาตรการที่ตลาดทำช่วยได้บ้างระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายก็กลับไปที่ปัจจัยพื้นฐาน พื้นฐานของไทยเอนไปทางให้ช็อตมากกว่าให้หลอง EPS โดนดาวน์เกรดมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นปี"
นอกจากยังมองว่าความน่าสนใจของไทยจะลดลงเรื่อยๆ หากไม่แก้ไขปัญหาจากข้างใน โดยชี้ให้เห็นจากโฟลว์การขาย SSF ที่ยอดขายต่ำกว่าเป้าหมายมาก

คำแนะนำการลงทุน
หุ้นไทย (Trading)
- หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า : GULF
- หุ้นกลุ่มธนาคาร: KBANK
- หุ้นกลุ่มสื่อสาร: ADVANCE
การกระจายพอร์ต
1. ตราสารหนี้: ระยะสั้น 0-3 เดือน (Money Market) มากกว่าระยะยาว
2. หุ้นต่างประเทศ: หุ้นโลก, หุ้นละตินอเมริกา (ไม่ใช่หุ้นสหรัฐฯ)
3. ทองคำ: ซื้อแบบ DCA
4. คริปโต: Bitcoin, Ethereum ผ่าน ETF สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดลงทุนโดยตรง