กรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์สายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน จากบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวม ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในสัปดาห์นี้ว่า ยังคงอยู่ในภาวะ ซึมตัวและไร้แรงส่งที่ชัดเจน แม้มีข่าวดีบางส่วนเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เริ่มคลี่คลาย แต่ปัจจัยลบภายในประเทศโดยเฉพาะ ปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจ ยังคงกดดันภาพรวมตลาดอย่างต่อเนื่อง
ความขัดแย้งภายในรัฐบาล ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนในขณะนี้ คือความไม่ลงรอยกันภายในรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ยอมเสียเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย ส่งผลให้การปรับ ครม. มีแนวโน้มล่าช้าและซับซ้อนยิ่งขึ้น กรรณ์ระบุว่า สถานการณ์นี้เข้าข่าย “แตกหัก” และอาจสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ให้เคลื่อนไหวในลักษณะ ไซด์เวย์ถึงไซด์เวย์ดาวน์
เศรษฐกิจยังอ่อนแรง – เงินเฟ้อติดลบทั้งปี
ภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังไม่เอื้อกับตลาดทุน โดยล่าสุดตัวเลข เงินเฟ้อของไทยติดลบ และมีแนวโน้มจะติดลบต่อเนื่องไปตลอดทั้งปี สะท้อนถึงการบริโภคที่ชะลอตัว และการใช้จ่ายที่ยังอยู่ในโหมด “รัดเข็มขัด”
มุมมองต่อดัชนี SET: แนวรับ 1,050 จุด – โอกาสหลุด 1,000 หากมีเหตุการณ์ลบใหม่
กรรณ์ประเมินว่า หากสถานการณ์ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ๆ เข้ามาหนุน และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศยังไม่คืบหน้า SET อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1,050 - 1,070 จุด โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,050 จุด ซึ่งถือเป็นระดับ Low ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ลบเพิ่มเติม เช่น ความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่บานปลาย หรือมีการยุบสภา ดัชนีอาจถอยร่นลงไปถึง ระดับ 970 จุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงเกิดโควิด-19
กลยุทธ์การลงทุน อัพไซด์จำกัด ขายที่ 1,200 – 1,250 จุด
ในกรณีที่ ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว จากข่าวดีเรื่องการเจรจาการค้าหรือเสถียรภาพทางการเมือง กรรณ์แนะนำให้นักลงทุนพิจารณา ขายทำกำไรที่ระดับ 1,200 – 1,250 จุด โดยเน้นว่า 1,250 จุดเป็นระดับที่ควรแบ่งขายออกจากพอร์ตอย่างจริงจัง
“หากตลาดขึ้นไปถึง 1,250 จุด นักลงทุนควรปรับพอร์ตหุ้นไทยให้เหลือเพียง 1-2 ตัวหลัก เช่น GULF หรือ AOT ที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานดีในระยะยาว และพิจารณาหันไปลงทุนในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพมากกว่า” กรรณ์กล่าว