รายงาน State of the Climate in Asia 2024 ที่จัดทำโดย องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) พบทวีปเอเชียกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึงเกือบสองเท่าในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา และในปี 2024 ที่ผ่านมา เอเชียประสบกับปีที่ร้อนที่สุด หรืออันดับสองในประวัติการณ์

เอเชียร้อนขึ้นเกือบ 2 เท่าของโลก สัญญาณอันตรายที่ปฏิเสธไม่ได้
ข้อมูลจากรายงานระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของเอเชียในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 1991–2020 ถึง 1.04 องศาเซลเซียส โดยช่วงเวลาระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีอุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งต่างเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงและยาวนาน
อินเดีย เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนอย่างน้อย 112 รายในเดือนพฤษภาคม ซึ่งบางพื้นที่อุณหภูมิพุ่งทะลุ 50 องศาเซลเซียส ขณะที่ ประเทศไทยมีการทำลายสถิติอุณหภูมิหลายวันติดต่อกัน และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากความร้อนอย่างน้อย 38 ราย
ญี่ปุ่น เผชิญกับฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ส่วนประเทศจีน และเกาหลีใต้ ก็พบกับสถิติอุณหภูมิสูงเช่นกัน
คลื่นความร้อนทางทะเล ภัยเงียบคุกคามระบบนิเวศ
ปี 2024 ยังถือเป็นปีที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในภูมิภาคเอเชียสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwaves) รุนแรงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ ทะเลเหลือง และน่านน้ำใกล้ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ อุณหภูมิน้ำทะเลในเอเชียเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.24 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบสองเท่า
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำลายระบบนิเวศทางทะเล แต่ยังทำให้ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยโลก เป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ชายฝั่งลุ่มต่ำที่มีประชากรหนาแน่น

ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เสี่ยงต่อความมั่นคงในระยะยาว
ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยตอนกลาง และเทียนชาน เกิดการละลายอย่างรวดเร็วในปี 2024 ไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำทะลักจากทะเลสาบธารน้ำแข็งและดินถล่ม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงด้านน้ำของประชาชนหลายร้อยล้านคนที่ต้องพึ่งพาน้ำจากธารน้ำแข็งในระยะยาว

ภัยธรรมชาติถี่ขึ้น ทำลายชีวิตและเศรษฐกิจ
รายงานยังบันทึกเหตุการณ์สุดขั้วที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของเอเชีย เช่น พายุไต้ฝุ่นยางิ ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีน ลาว ไทย และเมียนมา คร่าชีวิตผู้คนกว่า 1,000 ราย และทำลายสิ่งปลูกสร้างนับแสนแห่ง ขณะที่ฝนตกหนักและน้ำท่วมในประเทศอย่างปากีสถาน คาซัคสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ทำลายสถิติปริมาณน้ำฝนสูงสุดในรอบหลายสิบปี
คลื่นความร้อน ฆาตกรเงียบของโลก
คลื่นความร้อนถือเป็นเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในแต่ละปี โดยคร่าชีวิตไปเกือบครึ่งล้านคนทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเร่งให้โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลชี้ว่า แม้โดยเฉลี่ยโลกจะอุ่นขึ้นประมาณ 1.3 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่ในบางพื้นที่ ประชากรถึง 20-40% เคยประสบกับภาวะโลกร้อนที่เกินกว่า 1.5 องศาแล้ว ในช่วงปี 2006–2015

เร่งปรับตัว ระบบเตือนภัยล่วงหน้าอาจช่วยชีวิตได้
ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น รายงานของ WMO ยังชี้ให้เห็นแสงสว่างในความมืด ด้วยกรณีศึกษาจากประเทศเนปาล ที่ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการดำเนินการเชิงรุก (anticipatory action) ที่ช่วยให้ชุมชนสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ WMO เน้นย้ำว่าการลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้า การพัฒนาเมืองและชุมชนให้ทนทานต่อสภาพอากาศ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน หากมนุษยชาติยังต้องการความมั่นคงทั้งในด้านชีวิต เศรษฐกิจ และระบบนิเวศในระยะยาว