บทวิเคราะห์เอเชียระอุทุบสถิติ รายงานโลกชี้อุณหภูมิพุ่ง 2 เท่าของค่าเฉลี่ยโลก

26 มิ.ย. 2568 - 11:00

  • เอเชียระอุทะลุสถิติ รายงาน WMO ชี้อุณหภูมิพุ่งเกือบ 2 เท่าของค่าเฉลี่ยโลก

  • พบปัญหาคลื่นความร้อน ธารน้ำแข็งละลาย และภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น

  • องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกเตือนเร่งรับมือ เพราะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศในเอเชีย

บทวิเคราะห์เอเชียระอุทุบสถิติ รายงานโลกชี้อุณหภูมิพุ่ง 2 เท่าของค่าเฉลี่ยโลก

รายงาน State of the Climate in Asia 2024 ที่จัดทำโดย องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) พบทวีปเอเชียกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึงเกือบสองเท่าในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา และในปี 2024 ที่ผ่านมา เอเชียประสบกับปีที่ร้อนที่สุด หรืออันดับสองในประวัติการณ์

อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของภูมิภาคสำหรับภูมิภาคที่ 2 ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO RA 2: เอเชีย) (°C, ความแตกต่างจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1991–2020) ตั้งแต่ปี 1900 ถึง 2024 ข้อมูลมาจากชุดข้อมูล 6 ชุด ได้แก่ Berkeley Earth, ERA5, GISTEMP, HadCRUT5, JRA-3Q, และ NOAAGlobalTemp v6.
อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของภูมิภาคสำหรับภูมิภาคที่ 2 ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO RA 2: เอเชีย) (°C, ความแตกต่างจากค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1991–2020) ตั้งแต่ปี 1900 ถึง 2024 ข้อมูลมาจากชุดข้อมูล 6 ชุด ได้แก่ Berkeley Earth, ERA5, GISTEMP, HadCRUT5, JRA-3Q, และ NOAAGlobalTemp v6.

เอเชียร้อนขึ้นเกือบ 2 เท่าของโลก สัญญาณอันตรายที่ปฏิเสธไม่ได้

ข้อมูลจากรายงานระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยของเอเชียในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 1991–2020 ถึง 1.04 องศาเซลเซียส โดยช่วงเวลาระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม มีอุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งต่างเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรงและยาวนาน

อินเดีย เป็นอีกประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนอย่างน้อย 112 รายในเดือนพฤษภาคม ซึ่งบางพื้นที่อุณหภูมิพุ่งทะลุ 50 องศาเซลเซียส ขณะที่ ประเทศไทยมีการทำลายสถิติอุณหภูมิหลายวันติดต่อกัน และมีรายงานผู้เสียชีวิตจากความร้อนอย่างน้อย 38 ราย

ญี่ปุ่น เผชิญกับฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ส่วนประเทศจีน และเกาหลีใต้ ก็พบกับสถิติอุณหภูมิสูงเช่นกัน

คลื่นความร้อนทางทะเล ภัยเงียบคุกคามระบบนิเวศ

ปี 2024 ยังถือเป็นปีที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในภูมิภาคเอเชียสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwaves) รุนแรงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะบริเวณมหาสมุทรอินเดียตอนเหนือ ทะเลเหลือง และน่านน้ำใกล้ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ อุณหภูมิน้ำทะเลในเอเชียเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.24 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเกือบสองเท่า

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงทำลายระบบนิเวศทางทะเล แต่ยังทำให้ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยโลก เป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ชายฝั่งลุ่มต่ำที่มีประชากรหนาแน่น

sustainability-global-flood-risks-migration-SPACEBAR-Photo01-1.jpg

ธารน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เสี่ยงต่อความมั่นคงในระยะยาว

ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยตอนกลาง และเทียนชาน เกิดการละลายอย่างรวดเร็วในปี 2024 ไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงของภัยธรรมชาติ เช่น น้ำทะลักจากทะเลสาบธารน้ำแข็งและดินถล่ม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงด้านน้ำของประชาชนหลายร้อยล้านคนที่ต้องพึ่งพาน้ำจากธารน้ำแข็งในระยะยาว

sustainability-global-flood-risks-migration-SPACEBAR-Photo02-1.jpg

ภัยธรรมชาติถี่ขึ้น ทำลายชีวิตและเศรษฐกิจ

รายงานยังบันทึกเหตุการณ์สุดขั้วที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของเอเชีย เช่น พายุไต้ฝุ่นยางิ ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีน ลาว ไทย และเมียนมา คร่าชีวิตผู้คนกว่า 1,000 ราย และทำลายสิ่งปลูกสร้างนับแสนแห่ง ขณะที่ฝนตกหนักและน้ำท่วมในประเทศอย่างปากีสถาน คาซัคสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ก็ทำลายสถิติปริมาณน้ำฝนสูงสุดในรอบหลายสิบปี

คลื่นความร้อน ฆาตกรเงียบของโลก

คลื่นความร้อนถือเป็นเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในแต่ละปี โดยคร่าชีวิตไปเกือบครึ่งล้านคนทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเร่งให้โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลชี้ว่า แม้โดยเฉลี่ยโลกจะอุ่นขึ้นประมาณ 1.3 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม แต่ในบางพื้นที่ ประชากรถึง 20-40% เคยประสบกับภาวะโลกร้อนที่เกินกว่า 1.5 องศาแล้ว ในช่วงปี 2006–2015

sustainability-asia-record-heat-rises-at-nearly-twice-the-global-average-SPACEBAR-Photo01.jpg

เร่งปรับตัว ระบบเตือนภัยล่วงหน้าอาจช่วยชีวิตได้

ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้น รายงานของ WMO ยังชี้ให้เห็นแสงสว่างในความมืด ด้วยกรณีศึกษาจากประเทศเนปาล ที่ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการดำเนินการเชิงรุก (anticipatory action) ที่ช่วยให้ชุมชนสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ WMO เน้นย้ำว่าการลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้า การพัฒนาเมืองและชุมชนให้ทนทานต่อสภาพอากาศ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน หากมนุษยชาติยังต้องการความมั่นคงทั้งในด้านชีวิต เศรษฐกิจ และระบบนิเวศในระยะยาว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์