น้ำท่วมไทยและจีน: ภาพซ้อนของความสูญเสีย
ภาพบ้านเรือนพังยับ ทั้งเมืองจมบาดาล และผู้คนหลายหมื่นชีวิตต้องรีบอพยพ ทั้งหมดไม่ใช่แค่ภาพการรายงานสถานการณ์ข่าว แต่เป็นประจักษ์พยานที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของสภาพภูมิอากาศโลก ที่ดาหน้าถาโถมไม่เลือกพื้นที่ เชื้อชาติ หรือหย่อมย่านความเจริญ
ปลายเดือนมิถุนายน 2025 พื้นที่ทางตอนเหนือของไทยอย่างเชียงราย และน่าน เผชิญกับน้ำป่าไหลหลากฉับพลันหลายชุมชนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ถนนขาด สะพานพัง และต้องเร่งอพยพประชาชน ผู้ป่วย ในช่วงเวลาเร่งด่วน ขณะเดียวกันในกรุงเทพฯ เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องจนถนนหลายสายกลายเป็นอ่างน้ำ(รอระบาย) ทำให้การสัญจรบนท้องถนนกลายเป็นอัมพาต

ห่างออกไปไม่ถึงพันกิโลเมตร ทางฝั่งมณฑลกุ้ยโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เมืองใหญ่สองแห่งคือ หรงเจียงและ ฉงเจียง ถูกฝนถล่มอย่างหนักก่อนที่น้ำจะไหลบ่าเข้าท่วมเมืองทั้งเมืองภายในไม่กี่ชั่วโมง ชาวบ้านหลายหมื่นคนต้องอพยพหนีน้ำกลางดึก บางคนกล่าวว่า “น้ำมาเร็วมาก และสูงจนไม่เคยพบเห็นในชีวิต” โดยรายงานล่าสุดระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้วอย่างน้อย 6 ราย และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอีกมูลค่ามหาศาล
Extreme Weather ฝนถล่มจีน-ไทย สัญญาณเตือนภัยที่ไม่อาจมองข้าม
Extreme weather อยู่ในอันดับ 2 (Second‑highest risk) ด้วยสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญประมาณ 14% ขณะที่อันดับ 1 คือสงครามระหว่างรัฐ State‑based armed conflict) ที่มีสัดส่วน 23%
— Global Risks Report 2025
รายงานความเสี่ยงระดับโลก Global Risks Report 2025 จาก World Economic Forum เผยว่า สภาพอากาศสุดขั้ว หรือ Extreme Weather ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 2 ของความเสี่ยงระยะสั้น (ในช่วง 2 ปีข้างหน้า) โดยเป็นรองแค่ State‑Based Armed Conflict หรือสงครามระหว่างรัฐ ทว่า ความเลวร้ายของภัยธรรมชาติจากผลพวงโลกร้อน > โลกรวน > โลกเดือด ยังคงครองอันดับ 1 ความเสี่ยงระยะยาว (10 ปีข้างหน้า) ติดต่อกันเป็นปีที่ 2

โดยผู้เชี่ยวชาญกว่า 900 คนจากทั่วโลกเห็นตรงกันว่า สภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน คลื่นความร้อน ภัยแล้ง หรือไฟป่า กำลังเพิ่มความถี่และความรุนแรงในอัตราที่น่าตกใจ สอดคล้องกับข้อมูลจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ที่ระบุว่า ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงที่โลกร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลงแม้แต่น้อย ซึ่งผลที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ที่เห็นเป้นข่าวถี่ขึ้น ได้เเก่ คลื่นความร้อน (Heat wave) , ฝนตกรุนเเรงเเละน้ำท่วมหนัก (Extreme rainfall and flood), ภัยเเล้งที่ยืดเยื้อ (Droughts) เเละการเกิดไฟป่าเพิ่มขึ้น (Wildfires)
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และนักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า สภาพภูมิอากาศสุดขั้วเกิดจากความแปรปรวนของโลก หลังจากที่มนุษย์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสะสมกันมานานและยังคงปล่อยต่อไป กลายเป็นภัยพิบัติที่จะสร้างผลกระทบสาหัส โดยเฉพาะประเทศที่กำลังเปราะบางทางเศรษฐกิจ
“เมื่อถึงจังหวะที่ฝนตกหนักผิดปกติเพราะความแปรปรวนของโลก น้ำอาจมาทันใด และภาพที่เราไม่เคยเห็นในอดีตก็เกิดขึ้น น้ำบ่าลงจากเขา ท่วมชุมชนด้านล่าง น้ำเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมเมืองใหญ่ริมแม่น้ำ ทั้งสองอย่างเกิดเร็วมากๆๆ”
— ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ระบุ
ประชากรโลก 230 ล้านคน เสี่ยงอพยพเพราะน้ำท่วม
รายงานระบุว่า ประชากรโลกกว่า 230 ล้านคนกำลังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1 เมตร ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงสุดหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นในช่วงศตวรรษนี้ และหากไม่มีมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง (กว่านี้) นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 1 เมตร (ประมาณ 40 นิ้ว) ภายในปี 2100 และอาจนำไปสู่ “การอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่”
สภาพอากาศสุดขั้ว ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
Extreme Weather หรือสภาพอากาศสุดขั้ว ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของฝนฟ้าหรือภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นถี่ขึ้น นานขึ้น และรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามที่ซึมลึกไปถึงโครงสร้างเมือง นโยบายรัฐ และคุณภาพชีวิตของประชาชน
“แม้เมืองจะดูทันสมัย เต็มไปด้วยตึกสูงและเทคโนโลยี แต่ความสามารถในการรับมือภัยพิบัติยังคงแตกต่างกันมาก”
— ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ระบุ
เมืองที่ไม่มีระบบระบายน้ำหรือพื้นที่ดูดซับน้ำเพียงพออาจกลายเป็นจุดเปราะบางที่สุด เมื่อโลกเผชิญพายุที่รุนแรงและคาดเดาไม่ได้ รายงานยังระบุด้วยว่า Extreme Weather เป็นตัวเร่งให้เกิดวิกฤตอื่นๆ เช่น การขาดแคลนน้ำและอาหาร ความไม่มั่นคงด้านสุขภาพ และความขัดแย้งทางสังคมในระยะยาว
มีข้อมูลที่น่าสนใจจาก คุณวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่เผยแพร่ใน The Cloud ระบุว่ากรุงเทพฯ มีจุดต่ำน้ำท่วมอยู่ 737 จุด ระบบท่อระบายน้ำของ กทม. ระบายได้ 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง แต่ Climate Change ทำให้ฝนตกมากจนเกินควรเฉลี่ยอยู่ที่ 100 มิลลิเมตรในบางวัน วันที่ตกหนักที่สุดของปี 2023 อยู่ที่ 162 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง แล้วเกิดขึ้น 3 ชั่วโมงติด ระบบระบายน้ำไม่มีทางรองรับไหว คนก็ลงมาอยู่กันบนถนนในเวลาเดียวกันก็เลยเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
ทางรอดของโลกต้องเริ่มจากราก
ในยุคโลกร้อนที่ Extreme Weather เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น สิ่งที่ประเทศควรทำไม่ใช่แค่ “เตรียมพร้อมรับมือ” แต่ต้อง “ลงทุนในระบบที่ลดความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทาง” โดยเฉพาะการออกแบบเมืองให้สอดรับกับสภาพภูมิอากาศ เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ระบายน้ำได้ดีขึ้น ระบบเก็บกักน้ำฝนเพื่อบรรเทาแรงกระแทก และพื้นที่สีเขียวที่ดูดซับน้ำได้ หลายประเทศเริ่มขยับอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้า Net Zero Emissions การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน การฟื้นฟูระบบนิเวศ และการออกแบบเมืองให้รองรับภัยพิบัติอย่างยั่งยืน
ดร.รัตมณี อ๋องสกุล ผู้จัดการโครงการอาวุโส แผนกการพัฒนา สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ผู้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “บูรณาการธรรมชาติในการแก้ปัญหา เพื่อสร้างเมืองยั่งยืน” ภายในงาน Creating Sustainable City สร้างเมืองยั่งยืน เพื่อชีวิตยืนยาว ระบุว่า เมืองทั่วโลกต่างกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านภัยธรรมชาติ สภาพอากาศ และปัญหาสังคมเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความสนใจในเมืองที่ปลอดภัยและฟื้นตัวได้เร็ว โดยได้ยกตัวอย่าง ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีโครงการ Nature-based Solutions ที่ใช้ธรรมชาติเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและลดต้นทุนด้านสาธารณูปโภค เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อจัดการความร้อนในเมือง การฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม และการอนุรักษ์ชายฝั่งเพื่อป้องกันการกัดเซาะ ซึ่งนับเป็นการบูรณาการธรรมชาติเข้ากับการพัฒนาเมืองได้อย่างยั่งยืน

สำหรับประเทศไทย หนึ่งในจุดอ่อนที่ควรได้รับความสนใจอย่างเร่งด่วนคือ การปกป้องป่าไม้และต้นน้ำ การตัดไม้ทำลายป่าไม่เพียงแค่ทำลายแหล่งดูดซับคาร์บอน แต่ยังลดทอนความสามารถของธรรมชาติในการรับมือน้ำหลาก เมื่อไร้ต้นไม้ก็ไร้สิ่งกีดขวาง ไร้การชะลอการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ไร้รากและสิ่งปกคลุมที่ช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน เพราะป่าไม้คือ “แนวกันชนธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ในเวลาอันสั้น”
เราทราบกันดีว่า “ป่า” ช่วยลดน้ำท่วม ลดฝุ่น และดูดซับคาร์บอน แต่การตัดไม้ทำลายป่ากลับยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าเรายังปล่อยให้ธรรมชาติถูกทำลายลงเช่นนี้ ก็อาจต้องถึงวันที่ทุกคนต้องพึ่งพาตัวเองอย่างแท้จริง เพราะไม่มีภูเขา ไม่มีต้นไม้ และไม่มีระบบไหนที่ช่วยรับมือกับพิบัติภัยได้อีกต่อไป

Extreme Weather กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)
ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงเป็นบททดสอบของระบบรับมือในแต่ละประเทศ แต่ยังเป็นเครื่องชี้วัดความล้มเหลวในการเดินหน้าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติที่นานาประเทศตกลงร่วมกัน โดยเฉพาะในมิติด้านสภาพภูมิอากาศ (SDG 13) เมืองที่ยั่งยืน (SDG 11) และการอนุรักษ์ธรรมชาติ (SDG 15) การเกิดน้ำท่วมซ้ำซากในไทยและจีนสะท้อนว่าหลายเมืองยังไม่พร้อมรับมือโลกที่เปลี่ยนไปอย่างสุดขั้ว ขณะที่กลุ่มเปราะบางที่สุดก็ยังคงเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ซึ่งเชื่อมโยงถึงความเหลื่อมล้ำ (SDG 10) และการลดความยากจน (SDG 1) ที่ยังห่างไกลจากความเป็นจริง
หากไม่เร่งเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การลดการปล่อยคาร์บอน การปรับผังเมืองให้รับมือภัยพิบัติ ไปจนถึงการปกป้องป่าไม้และแหล่งน้ำ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อก็อาจไม่มีทางเป็นจริงทันก่อนปี 2030 เพราะ Extreme Weather ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่คือสัญญาณเตือนว่าระบบของโลกกำลังล้มเหลว และเวลาที่เหลือก็เหลือน้อยลงเต็มที