ไมโครพลาสติก (Microplastics) เป็นปัญหามลพิษที่กำลังกลายเป็นวิกฤตระดับโลก เพราะมัน “เล็ก” เกินกว่าจะมองเห็น แต่ “ใหญ่” เกินกว่าจะมองข้าม
...UNEP คาดการณ์ขยะพลาสติกทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในปี 2060
นับตั้งแต่พลาสติก (โพลิเมอร์สังเคราะห์) เกิดขึ้นบนโลกราวปี 1907 โดย Leo Hendrick Baekeland นักเคมีชาวเบลเยียม-อเมริกัน เป็นเวลากว่า 120 ปีที่สั่งสม บัดนี้ผลกระทบจากพลาสติกยิ่งชัดขึ้นจากการแตกตัวเป็นเสี่ยงๆ ของ “ไมโครพลาสติก” ที่มีขนาดเล็กในช่วง 1 นาโนเมต-5 มิลลิเมตร มีรายงานพบไมโครพลาสติกแทบทุกที่บนโลก ตั้งแต่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ บนความสูง 8,440 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ไม่เว้นแม้แต่ในร่องลึกมาเรียน่า ซึ่งเป็นจุดที่ลึกที่สุดในโลก
สำหรับประเทศไทย กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง พบการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในตะกอนดินบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง นั่นแปลว่า “มันอยู่บนดินที่เราเหยียบ” จะว่าไปเรื่องนี้ไทยก็ทัดเทียมนานาประเทศ เพราะที่อิตาลี พบไมโครพลาสติกในผลไม้และผักบางชนิด เช่น แอปเปิล ลูกแพร์ บร็อกโคลี และแครอท ส่วนสหราชอาณาจักร พบในหอยแมลงภู่ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต
ขณะที่มีงานวิจัยพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนเรากินไมโครพลาสติก 5 กรัมต่อสัปดาห์ หรือราว 240 กรัมต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการเขมือบบัตรเครดิต 1 ใบเต็มๆ ทุกปี และอาจเพิ่มขึ้นทุกขณะ

ญี่ปุ่นคิดพลาสติกละลายน้ำทะเลใน 3 ชั่วโมง ความหวังของโลก
พลาสติกชีวภาพแบบใหม่ที่ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น สามารถย่อยสลายในน้ำทะเลได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการรับมือวิกฤตขยะทะเลและไมโครพลาสติกทั่วโลก
ผลงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์วิทยาศาสตร์สสารอุบัติใหม่แห่งสถาบันวิจัย RIKEN และมหาวิทยาลัยโตเกียว โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบโมเลกุลระดับนาโน สังเคราะห์จากไอโอนิกโมโนเมอร์ (Ionic Monomers) ที่สามารถแยกตัวเมื่อสัมผัสกับเกลือในน้ำทะเล พลาสติกชนิดนี้ยังสามารถถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ต่อเนื่อง จึงไม่ก่อให้เกิดไมโครพลาสติก หรือสารพิษตกค้างที่เป็นอันตรายใดๆ

ภายในห้องทดลองในเมืองวาโกะ จังหวัดไซตามะ ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว ทีมวิจัยได้สาธิตการละลายของพลาสติกต้นแบบในสารละลายน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นเทียบเท่าน้ำทะเล และพบว่าพลาสติกขนาดเล็กสามารถละลายได้ภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับขนาดและความหนา
ศาสตราจารย์ทาคุโสะ ไอดะ หัวหน้าโครงการเปิดเผยว่า วัสดุใหม่นี้มีความแข็งแรงใกล้เคียงกับพลาสติกจากปิโตรเลียมทั่วไป สามารถนำไปใช้งานได้จริง เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์ โดยจะยังคงความคงทนในระหว่างการใช้งานเมื่อมีการเคลือบผิวอย่างเหมาะสม แต่เมื่อสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีเกลือ เช่น น้ำทะเลหรือดินริมชายฝั่ง พลาสติกจะเริ่มสลายตัวได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน
“เด็กๆ ไม่มีโอกาสเลือกโลกที่พวกเขาจะอยู่ มันคือหน้าที่ของพวกเราในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ที่จะต้องทำให้แน่ใจว่าเราทิ้งโลกใบนี้ไว้ในสภาพที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา”
— ศาสตราจารย์ทาคุโสะ หัวหน้าโครงการวิจัย กล่าว
นอกจากจะสามารถละลายในน้ำทะเลและสลายตัวโดยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติได้แล้ว พลาสติกชนิดนี้ยังไม่มีพิษ ไม่ติดไฟ และไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระหว่างการใช้งานหรือละลาย จึงนับเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย
แม้จะยังไม่มีแผนการผลิตในเชิงพาณิชย์ที่ชัดเจน แต่งานวิจัยดังกล่าวได้รับความสนใจจากภาคอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์และสินค้าแบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของขยะพลาสติกในปัจจุบัน
ข้อมูลจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) ระบุว่า หากไม่มีมาตรการควบคุมอย่างจริงจัง มลพิษจากพลาสติกในทะเลอาจเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ภายในปี 2060 ซึ่งหมายถึงขยะพลาสติกกว่า 23–37 ล้านเมตริกตัน ที่อาจไหลลงสู่มหาสมุทรในแต่ละปี โดยพลาสติกเหล่านี้จะใช้เวลาเป็นร้อยปีในการย่อยสลาย และจะแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกที่สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์
รายงานในปี 2020 ยังพบว่า มีอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอนหลุดรอดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ และพบในหลอดเลือด สมอง ตับ อวัยวะภายในอื่นๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงทางสุขภาพระยะยาวยังอยู่ในระหว่างการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
ในบริบทดังกล่าว การค้นพบวัสดุที่สามารถสลายตัวได้โดยไม่ทิ้งไมโครพลาสติก จึงถือเป็นความหวังใหม่สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์พลาสติกในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างแท้จริง
แม้จะยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของวัสดุในสภาพการใช้งานจริง รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตที่คุ้มค่าในระดับอุตสาหกรรม แต่นวัตกรรมนี้ได้แสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในอุดมคติ หากแต่เป็นเป้าหมายที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยวิทยาศาสตร์และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

แล้วเราพร้อมใช้พลาสติกแบบนี้หรือยัง?
คำถามที่ท้าทายยิ่งกว่าการศึกษาค้นพบก็คือ เราจะได้ใช้จริงหรือไม่ และต้นทุนจะสูงแค่ไหน หากวัสดุที่ปลอดภัยต่อธรรมชาติยังคงถูกมองว่าเป็น “ต้นทุน” มากกว่า “การลงทุน” เพื่อความยั่งยืน นวัตกรรมนี้ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งโครงการวิจัยดีๆ ที่คนลืมภายในไม่กี่ปี
แต่ถ้าผู้บริโภค ผู้ผลิต และภาครัฐ มองเห็นว่าการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ “ตัวเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็นเร่งด่วน” เราก็อาจได้เห็นพลาสติกแบบใหม่นี้ถูกใช้จริงในซูเปอร์มาร์เก็ต ในร้านสะดวกซื้ออีกไม่นานเกินรอ