ทองพุ่งต่อ YLG ประเมินมีลุ้นถึง $4,000! – หากสงครามอิสราเอล–อิหร่าน ยืดเยื้อรุนแรง!

16 มิ.ย. 2568 - 06:24

  • สงครามตะวันออกกลางอาจยกระดับ อิหร่านเปิดตัวขีปนาวุธทะลวง Iron Dome–ความเสี่ยงยืดเยื้อ

  • นักวิเคราะห์ เผย JP Morgan เตือน! น้ำมันอาจแตะ $130 หากปิดช่องแคบฮอร์มุซ

  • กลยุทธ์ทองคำ แนวรับสำคัญ 3,377–3,419 ดอลลาร์, หากทะลุ $3,500 ลุ้นขึ้นต่อถึง $4,000

ทองพุ่งต่อ YLG ประเมินมีลุ้นถึง $4,000! – หากสงครามอิสราเอล–อิหร่าน ยืดเยื้อรุนแรง!

ราคาทองคำในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวน ตอบรับแรงกดดันจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรณีการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านซึ่งยืดเยื้อมาจนเข้าสู่วันที่ 4 อย่างไรก็ตาม ล่าสุดราคาทองคำเริ่มทรงตัวมากขึ้น สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนที่ยังจับตาสถานการณ์โลกและท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)

สงครามตะวันออกกลางอาจยกระดับ อิหร่านเปิดตัวขีปนาวุธทะลวง Iron Dome–ความเสี่ยงยืดเยื้อ

วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์จาก YLG กล่าวถึงสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลางมองว่าเป็นสถานการณ์ท่ียังน่าจับตาอย่างยิ่ง เมื่อความขัดแย้งระหว่าง อิหร่าน–อิสราเอล ยกระดับอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การโจมตีระลอกใหม่ของอิหร่านใช้อาวุธขีปนาวุธรุ่นใหม่ “ฮัจ กัสเซ็ม” ที่สามารถเจาะทะลวง Iron Dome ของอิสราเอลได้ นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการพัฒนาเชิงเทคโนโลยีทางทหารที่เหนือความคาดหมาย ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์วิเคราะห์ว่า นี่ไม่ใช่สงครามแบบ “ยิงกันไปยิงกันมา” เหมือนรอบก่อน แต่เป็นการ “แลกหมัดแบบถล่มไม่ยั้ง” ซึ่งเสี่ยงต่อการยืดเยื้อและลุกลาม

ตลาดทองคำตอบรับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์

วรุต กล่าวว่า ราคาทองคำตอบสนองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีข่าวการโจมตีอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่เปลี่ยนไปมาเร็ว โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาแสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการโจมตีจากฝั่งอิสราเอล และเรียกร้องให้ยุติแผนสังหารผู้นำอิหร่าน ก็ทำให้ตลาดประเมินว่าสหรัฐฯ อาจมีบทบาท “ห้ามศึก” ซึ่งส่งผลให้แรงซื้อทองคำชะลอลง

นักลงทุนหลายรายเริ่มแบ่งขายทองคำเพื่อทำกำไร และรอดูท่าทีของสถานการณ์ หากไม่มีการขยายวงความรุนแรง ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวลงในระยะสั้น

ราคาน้ำมันพุ่งแตะ $300 หากปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ”

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวแรงเมื่อเกิดความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยมีการคาดการณ์ว่าน้ำมันอาจพุ่งทะลุระดับ $300 ต่อบาร์เรล หากเกิดการปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” หรือมีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน

ปัจจัยนี้อาจผลักดันให้ เงินเฟ้อ กลับมาเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐชะลอหรือเลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกไป แม้ว่าก่อนหน้านี้ตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2025 ก็ตาม ล่าสุดจาก FedWatch Tool พบว่า โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ลดลงเหลือเพียง 40.3% จากเดิมที่สูงกว่า 50% สะท้อนถึงความกังวลว่าหากเงินเฟ้อเร่งตัวมากขึ้น เฟดอาจคุมเข้มนโยบายการเงินแทนที่จะผ่อนคลาย

ความเสี่ยง Stagflation ปรากฏชัด นักลงทุนเริ่มพูดถึง “Black Swan” ใหม่

หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านขยายวงกว้าง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการโจมตีโครงสร้างน้ำมันดิบหรืออาวุธนิวเคลียร์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะกระทบต่อภูมิภาคในวงกว้างและกดดันให้เกิดภาวะ Stagflation (เงินเฟ้อสูง + เศรษฐกิจถดถอย)

วรุต ชี้ว่า ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจกลายเป็น Black Swan ตัวใหม่ ของเศรษฐกิจโลก แม้ในปัจจุบันจะยังเป็น “ลูกหงส์ดำ” แต่หากพัฒนาไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ จะส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและราคาทองคำในระยะกลาง–ยาว

แนวโน้มราคาทองคำ วาณิชธนกิจระดับโลกตั้งเป้า $4,000

วรุต กล่าวด้วยว่า ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ทำให้วาณิชธนกิจชั้นนำของโลกอย่าง Goldman Sachs และ Bank of America ออกมาคาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจพุ่งแตะระดับ $3,700 ถึง $4,000 ต่อออนซ์ ภายในปี 2025 หรือในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

 YLG แนะกลยุทธ์ทองคำ

วายแอลจี มองว่าทองคำยังมีลุ้นไปถึง $3,800–$4,000 ภายในสิ้นปีนี้หรือกลางปีหน้า พร้อมแนะกลยุทธ์ในการลงทุนดังนี้:

 • นักลงทุนไม่มีทองคำ: หากรับความเสี่ยงได้ อาจพิจารณาเริ่มทยอยซื้อบริเวณ $3,419 หรือรอจุดต่ำสุดที่ $3,377

 • นักลงทุนมีทองคำแล้ว: ถ้ายังไม่ถึง $3,500 แนะนำ “ซื้อเมื่อย่อตัว” แต่ถ้าผ่าน $3,500 ได้ ให้ลุ้นถือยาว

 • ถ้าเกิดการใช้ อาวุธนิวเคลียร์ หรือเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น ทองคำอาจพุ่งทะลุ $3,500 และวิ่งต่อได้เร็วถึง $4,000

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์