กรณีการเปิดเผยถึงอาการป่วยของนักแสดงสาวชื่อดัง “เอ๋ พรทิพย์” ซึ่งพบว่าป่วยด้วยโรค “มะเร็งปอด” ทั้งที่ไม่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ สร้างคำถามและความกังวลในสังคมว่า “ไม่สูบบุหรี่ แล้วทำไมยังเป็นมะเร็งปอดได้?” คำตอบที่ได้จากวงการแพทย์และงานวิจัยระดับนานาชาติคือ “มลพิษทางอากาศ” โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 กำลังกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดโรคหนึ่งของโลก
มะเร็งปอด ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสูบบุหรี่
หน่วยงานด้านมะเร็งขององค์การอนามัยโลก (WHO) เผยข้อมูลสัดส่วนของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “มะเร็งปอด” ทั้งที่ไม่เคยสูบบุหรี่กำลังเพิ่มขึ้น โดยพบว่า “มลพิษทางอากาศ” เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งตามรายงานของสำนักงานวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ระบุว่า ปัจจุบันมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ หรือยาสูบ ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งอันดับ 5 ของโลก โดยมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ส่วนใหญ่มักเป็นชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา (มะเร็งชนิดต่อม / Adenocarcinoma) ซึ่งกลายเป็นชนิดย่อยหลัก 4 ชนิดของโรคนี้ในทั้งผู้ชายและผู้หญิงทั่วโลก
“มะเร็งปอดไม่ใช่โรคของคนสูบบุหรี่อีกต่อไป”
— ดร.เฟรดดี้ เบรย์ หัวหน้าฝ่ายเฝ้าระวังมะเร็ง IARC
จากการศึกษาวิจัยของ IARC ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Respiratory Medicine พบว่า ในปี 2022 มีผู้ป่วยอะดีโนคาร์ซิโนมาประมาณ 200,000 รายที่เชื่อมโยงกับการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ และผลการศึกษาพบว่าภาวะอะดีโนคาร์ซิโนมาที่เกิดจากมลพิษทางอากาศส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
มีรายงานการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดในทวีปเอเชียนั้น 30-40% เป็นผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน โดยมากกว่า 50% ของเพศหญิงนั้นไม่เคยสูบบุหรี่ ซึ่งแตกต่างจากประเทศในฝั่งทวีปยุโรป ซึ่งมีเพียงแค่ 10-20% เท่านั้นที่ไม่เคยสูบบุหรี่ แต่กลับป่วยเป็นมะเร็งปอด
— ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอกเชี่ยวชาญด้านผ่าตัดส่องกล้องมะเร็งปอด โรงพยาบาลพญาไท 1
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไปของมะเร็งปอดอย่างเร่งด่วน จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อระบุปัจจัยสาเหตุที่เป็นไปได้ เช่น มลพิษทางอากาศ ในกลุ่มประชากรที่การสูบบุหรี่ไม่ได้ถือเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด จากการที่อัตราการสูบบุหรี่ลดลงดังที่เห็นในสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ ทว่า สัดส่วนของมะเร็งปอดที่ได้รับการวินิจฉัยในกลุ่มคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

PM2.5 ฝุ่นพิษที่ซ่อนความเสี่ยง
ฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ถึง 20 เท่า สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทางเดินหายใจและปอดได้อย่างลึก เมื่อสะสมในร่างกายจะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง การกลายพันธุ์ของเซลล์ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะ “มะเร็งปอด”
แม้องค์การอนามัยโลกจะจัดให้ PM2.5 เป็น “สารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1” เทียบเท่ากับแร่ใยหินหรือควันบุหรี่ แต่ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ระดับค่าฝุ่นกลับยังคงพุ่งสูง โดยเฉพาะในฤดูแล้งและช่วงไฟป่า
ประเภทของมะเร็งปอด ไม่ใช่ทุกชนิดเหมือนกัน
โรคมะเร็งปอดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- มะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer) พบมากถึง 85% ของผู้ป่วยทั้งหมด ลุกลามช้ากว่า และมีโอกาสรักษาให้หายหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ
- มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer) พบได้น้อยกว่า แต่มีการแพร่กระจายรวดเร็ว มักสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่โดยตรง
ในกลุ่มผู้ไม่สูบบุหรี่ มะเร็งชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมาซึ่งอยู่ในกลุ่ม Non-Small Cell มักเป็นชนิดย่อยที่พบบ่อยที่สุด
สัญญาณเตือนภัยที่ไม่ควรมองข้าม
อาการของมะเร็งปอดในระยะแรกมักไม่ชัดเจน แต่สามารถสังเกตได้จากอาการทั่วไป เช่น
- ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก หรือมีไข้เรื้อรัง
หากมีอาการดังกล่าวต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพโดยละเอียดทันที
ไม่สูบบุหรี่แต่ยังเสี่ยง เพราะมีปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม
แม้การสูบบุหรี่จะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของมะเร็งปอด แต่งานวิจัยจำนวนมากระบุว่า ยังมีปัจจัยอื่นที่ไม่ควรมองข้าม เช่น
- มลพิษทางอากาศ (เช่น PM2.5)
- ควันบุหรี่มือสอง
- สารเคมีอุตสาหกรรม เช่น แอสเบสตอส หรือเดรอน
- การสัมผัสรังสี เช่น จากการรักษาโรคอื่นในอดีต
- พันธุกรรมหรือประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด
ความเปลี่ยนแปลงของมะเร็งปอดในผู้หญิง
ข้อมูลจาก IARC ยังชี้ให้เห็นว่า อัตราการเกิดมะเร็งปอดในผู้หญิงทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น แม้การสูบบุหรี่จะลดลง โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรซึ่งพบว่า ปี 2023 เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ชาย ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าแนวโน้มนี้สะท้อนถึงการสัมผัสมลพิษทางอากาศในชีวิตประจำวัน และเรียกร้องให้มีการเฝ้าระวังในผู้หญิงไม่แพ้กับ “โรคมะเร็งเต้านม”
ตรวจเร็ว รักษาไว กุญแจสำคัญสู่โอกาสรอดชีวิต
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น เช่น CT Low Dose Scan หรือการตรวจแบบเจาะลึกด้วย Precision Cancer Medicine ที่ช่วยระบุการกลายพันธุ์ของยีนที่เป็นต้นเหตุของโรค เพื่อออกแบบแนวทางการรักษาเฉพาะราย ยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาหายยิ่งสูง โดยเฉพาะมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก หากตรวจพบในระยะที่ 1–2 ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ผ่านการผ่าตัด ฉายแสง หรือใช้ยามุ่งเป้า
จากความเชื่อเดิมที่ “มะเร็งปอดมักเกิดกับคนสูบบุหรี่” ปัจจุบันแนวโน้มของโรคกำลังชี้ชัดว่า “มลพิษในอากาศ” กำลังเป็นภัยคุกคามที่มองไม่เห็น ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีคิด การป้องกัน และการวางนโยบายด้านสาธารณสุขไปโดยสิ้นเชิง
วันนี้ โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดที่มีความเชื่อมโยงกับมลพิษทางอากาศ กำลังกลายเป็นปัจจัยคุกคามสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ ไม่เพียงกระทบต่อ SDG 3 ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี แต่ยังพาดพิงไปถึง SDG 13 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, SDG 11 เมืองที่ยั่งยืน, SDG 10 ความเหลื่อมล้ำ และ SDG 1 กับ SDG 8 ที่เกี่ยวข้องกับความยากจนและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในบริบทที่ประชากรกลุ่มเปราะบางมีโอกาสได้รับผลกระทบจากมะเร็งมากกว่าคนทั่วไปทั้งในแง่ของการเจ็บป่วยและภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา
การจัดการกับโรคมะเร็งจึงไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องการแพทย์หรือระบบสาธารณสุขเท่านั้น แต่ควรเชื่อมโยงกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม เมืองน่าอยู่ และความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การยกระดับคุณภาพอากาศ การศึกษาด้านสุขภาพ และการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาจึงเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์พัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว