นับถอยหลังเพียง 1 เดือนเท่านั้นสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ พระราชพิธีที่แสดงถึงการเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์อย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์อังกฤษ โดยงานนี้เป็นส่วนผสมของพิธีกรรมทางการเมืองและศาสนาที่เต็มไปด้วยความเอิกเกริก ความยิ่งใหญ่ที่มีมาอย่างยาวนาน
“สถาบันมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ด้วยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นมีการจัดพระราชพิธีอย่างเต็มรูปแบบ โดยพิธีราชาภิเษกเป็นโอกาสสำหรับสถาบันกษัตริย์ที่จะย้ำเตือนทุกคนถึงบทบาทที่ยั่งยืนในอังกฤษและทั่วโลก” อาเรียน เชอร์น็อค ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบอสตันกล่าว
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จะเป็นกษัตริย์องค์ที่ 40 ที่สวมมงกุฎ ณ มหาวิหารเวสต์มินเตอร์ โดยคาดว่าจะมีแขกมาร่วมงานประมาณ 2,000 คน ซึ่งตรงกันข้ามกับในสมัยควีนเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งมีผู้ร่วมงานถึง 8,000 คนด้วยกัน
ต่อไปนี้เป็นเรื่องน่ารู้ 7 ประการเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของอังกฤษและพิธีกรรมของราชวงศ์
“สถาบันมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ด้วยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นมีการจัดพระราชพิธีอย่างเต็มรูปแบบ โดยพิธีราชาภิเษกเป็นโอกาสสำหรับสถาบันกษัตริย์ที่จะย้ำเตือนทุกคนถึงบทบาทที่ยั่งยืนในอังกฤษและทั่วโลก” อาเรียน เชอร์น็อค ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบอสตันกล่าว
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 จะเป็นกษัตริย์องค์ที่ 40 ที่สวมมงกุฎ ณ มหาวิหารเวสต์มินเตอร์ โดยคาดว่าจะมีแขกมาร่วมงานประมาณ 2,000 คน ซึ่งตรงกันข้ามกับในสมัยควีนเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งมีผู้ร่วมงานถึง 8,000 คนด้วยกัน
ต่อไปนี้เป็นเรื่องน่ารู้ 7 ประการเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของอังกฤษและพิธีกรรมของราชวงศ์
1. รายชื่อแขกที่ร่วมงานอาจไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์เสมอไป

รายชื่อแขกที่จะเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของอังกฤษประกอบด้วยสมาชิกราชวงศ์และประมุขแห่งรัฐจากทั่วเครือจักรภพและทั่วโลก รวมถึงนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ขุนนางสืบตระกูล ตลอดจนพระสหายของราชวงศ์
ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีก็ถูกเปิดเผยเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในรายชื่อแขกเหมือนกัน “ในพิธีราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1953 สหภาพโซเวียตเองก็ไม่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนั้น เนื่องจากสภาวะสงครามเย็น” เชอร์น็อคกล่าว
อย่างไรก็ดี การเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้รับคำเชิญเสมอไป ในปี 1821 กษัตริย์จอร์จที่ 4 ก็ทรงห้ามไม่ให้พระราชินีแคโรไลน์ พระมเหสีของพระองค์เองร่วมพิธีราชาภิเษกด้วยเหตุผลที่พระองค์กำลังอยู่ในสภาวะที่จะหย่าร้างกัน
นอกจากนี้ในปี 1937 ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และวอลลิส ซิมป์สัน) ซึ่งมีฐานะเป็นพระเชษฐาและพระเชษฐนี (พี่สะใภ้) ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 ก็ทรงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยเหตุผลภายในราชวงศ์ แต่คาดว่าเป็นเพราะเรื่องผิดใจกันระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และพระเจ้าจอร์จที่ 6
แล้วรู้หรือไม่ว่า? โดยทั่วไปแล้วพิธีราชาภิเษกจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์วัย 4 พรรษากลายเป็นพระราชโอรสองค์แรกที่ได้เข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของพระราชบิดามารดามาแล้วเมื่อปี 1953 ขณะที่เจ้าหญิงแอนน์ในเวลานั้นยังทรงพระเยาว์เกินไปจึงไม่ได้เข้าร่วม
สำหรับงานของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระราชนัดดาองค์ใดจะได้เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่คาดว่าเจ้าชายจอร์จจะทรงอยู่ที่งานในครั้งนี้ด้วย และแน่นอนว่าหลายคนคงจับตามองว่าดยุกและดัสเชสแห่งซัสเซกซ์ (เจ้าชายแฮร์รีและเมแกน) จะทรงได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วยหรือไม่?
ต่อมาขั้นตอนการเจิม พระมหากษัตริย์จะประทับบนพระที่นั่งเก้าอี้ราชาภิเษกหรือที่เรียกว่า ‘บัลลังก์เซนต์เอ็ดเวิร์ด’ จากนั้นอาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีผู้เป็นประมุขแห่งคริสตจักรอังกฤษจะทำการเจิมด้วยน้ำมันเจิมศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยจากงา กุหลาบ มะลิ อบเชย เป็นต้น) ที่พระหัตถ์ พระอุระ และพระเศียร
“ช่วงเวลานี้จะทำให้กษัตริย์ขึ้นครองราชย์ด้วยความศักดิ์สิทธิ์” แอนดริว วอล์คกิง ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาษาอังกฤษ และการละครแห่งมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันกล่าว
ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีก็ถูกเปิดเผยเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในรายชื่อแขกเหมือนกัน “ในพิธีราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1953 สหภาพโซเวียตเองก็ไม่ได้เข้าร่วมงานในครั้งนั้น เนื่องจากสภาวะสงครามเย็น” เชอร์น็อคกล่าว
อย่างไรก็ดี การเป็นสมาชิกราชวงศ์ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้รับคำเชิญเสมอไป ในปี 1821 กษัตริย์จอร์จที่ 4 ก็ทรงห้ามไม่ให้พระราชินีแคโรไลน์ พระมเหสีของพระองค์เองร่วมพิธีราชาภิเษกด้วยเหตุผลที่พระองค์กำลังอยู่ในสภาวะที่จะหย่าร้างกัน
นอกจากนี้ในปี 1937 ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และวอลลิส ซิมป์สัน) ซึ่งมีฐานะเป็นพระเชษฐาและพระเชษฐนี (พี่สะใภ้) ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 ก็ทรงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยเหตุผลภายในราชวงศ์ แต่คาดว่าเป็นเพราะเรื่องผิดใจกันระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และพระเจ้าจอร์จที่ 6
แล้วรู้หรือไม่ว่า? โดยทั่วไปแล้วพิธีราชาภิเษกจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์วัย 4 พรรษากลายเป็นพระราชโอรสองค์แรกที่ได้เข้าร่วมพิธีราชาภิเษกของพระราชบิดามารดามาแล้วเมื่อปี 1953 ขณะที่เจ้าหญิงแอนน์ในเวลานั้นยังทรงพระเยาว์เกินไปจึงไม่ได้เข้าร่วม
สำหรับงานของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระราชนัดดาองค์ใดจะได้เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่คาดว่าเจ้าชายจอร์จจะทรงอยู่ที่งานในครั้งนี้ด้วย และแน่นอนว่าหลายคนคงจับตามองว่าดยุกและดัสเชสแห่งซัสเซกซ์ (เจ้าชายแฮร์รีและเมแกน) จะทรงได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วยหรือไม่?
2. พราราชพิธีบรมราชาภิเษกแบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอน
ในส่วนแรกจะเริ่มต้นที่คำถวายสัตย์สาบาน หรือที่เรียกว่า ‘คำสาบานราชาภิเษก’ กษัตริย์จะต้องถวายคำสัตย์นั้นต่อหน้าราชวงศ์ โดยต้องให้คำมั่นว่าจะปกครองอาณาจักรด้วยกฎหมาย ความยุติธรรม และความเมตตา นอกจากนี้ในปี 1689 นับตั้งแต่มีการผ่านพระราชบัญญัติพิธีราชาภิเษก กษัตริย์ยังต้องให้คำสัตย์สาบานว่าจะสนับสนุนนิกายแองกลิคันโปรเตสแตนต์ด้วยต่อมาขั้นตอนการเจิม พระมหากษัตริย์จะประทับบนพระที่นั่งเก้าอี้ราชาภิเษกหรือที่เรียกว่า ‘บัลลังก์เซนต์เอ็ดเวิร์ด’ จากนั้นอาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีผู้เป็นประมุขแห่งคริสตจักรอังกฤษจะทำการเจิมด้วยน้ำมันเจิมศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยจากงา กุหลาบ มะลิ อบเชย เป็นต้น) ที่พระหัตถ์ พระอุระ และพระเศียร
“ช่วงเวลานี้จะทำให้กษัตริย์ขึ้นครองราชย์ด้วยความศักดิ์สิทธิ์” แอนดริว วอล์คกิง ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาษาอังกฤษ และการละครแห่งมหาวิทยาลัยบิงแฮมตันกล่าว

ตามมาด้วยการถวายบังคมและสวมมงกุฎเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพิธีราชาภิเษก ได้แก่ ลูกโลกประดับกางเขน พระธํามรงค์ราชาภิเษก คทา และไม้เท้า
เมื่ออาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีวางมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดบนพระเศียรของกษัตริย์องค์ใหม่ ผู้ร่วมงานจะโห่ร้องว่า ‘God Save the King / Queen’ ขณะที่เสียงระฆังจะดังไปทั่วราชอาณาจักรและเสียงยิงปืนสลุต 62 นัดจากหอคอยแห่งลอนดอน จากนั้นพระมหากษัตริย์จะถูกนำขึ้นสู่พระราชบัลลังก์
สำหรับขั้นตอนสุดท้ายเหล่าพระราชวงศ์และขุนนางผู้เข้าร่วมพิธีจะทยอยเข้าเฝ้าถวายความเคารพโดยคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์ / ราชินี ขณะเดียวกัน ขุนนางฝ่ายศาสนจักรอย่าง อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีและบิชอปอื่นๆ ขุนนางฝ่ายอาณาจักร บรรดาเจ้าชาย รวมถึงดยุคองค์อื่นๆ เองก็ให้คำสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อกษัตริย์ผู้ปกครององค์ใหม่ด้วยเช่นกัน
หากกษัตริย์มีพระมเหสี พอหลังจากเสร็จพระราชพิธีก็จะมีการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์และสวมมงกุฎให้กับสมเด็จพระราชินีด้วย
เมื่ออาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีวางมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ดบนพระเศียรของกษัตริย์องค์ใหม่ ผู้ร่วมงานจะโห่ร้องว่า ‘God Save the King / Queen’ ขณะที่เสียงระฆังจะดังไปทั่วราชอาณาจักรและเสียงยิงปืนสลุต 62 นัดจากหอคอยแห่งลอนดอน จากนั้นพระมหากษัตริย์จะถูกนำขึ้นสู่พระราชบัลลังก์
สำหรับขั้นตอนสุดท้ายเหล่าพระราชวงศ์และขุนนางผู้เข้าร่วมพิธีจะทยอยเข้าเฝ้าถวายความเคารพโดยคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์ / ราชินี ขณะเดียวกัน ขุนนางฝ่ายศาสนจักรอย่าง อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีและบิชอปอื่นๆ ขุนนางฝ่ายอาณาจักร บรรดาเจ้าชาย รวมถึงดยุคองค์อื่นๆ เองก็ให้คำสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อกษัตริย์ผู้ปกครององค์ใหม่ด้วยเช่นกัน
หากกษัตริย์มีพระมเหสี พอหลังจากเสร็จพระราชพิธีก็จะมีการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์และสวมมงกุฎให้กับสมเด็จพระราชินีด้วย
3. ส่วนของพระราชพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจะไม่เผยให้สาธารณชนได้ชม

เนื่องจากมีความเชื่อกันว่ากษัตริย์อังกฤษปกครองโดยสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรีจึงเทน้ำมันศักดิ์สิทธิ์จากพระสถูปทองคำของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เพื่อเจิมกษัตริย์องค์ใหม่แต่ละพระองค์ “ทำให้กษัตริย์หรือราชินีได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า” เทรซี บอร์แมน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Crown & Sceptre: ประวัติศาสตร์ใหม่ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษกล่าว
หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘พิธีถวายตัว’ ซึ่งส่วนนี้ของพิธีถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากจนเป็นส่วนเดียว และในพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ไม่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วย
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 กษัตริย์ผู้ปกครองอังกฤษจะได้รับการเจิมโดยใช้ช้อนราชาภิเษก ซึ่งเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพิธีบรมราชาภิเษกที่เก่าแก่ที่สุด
แล้วรู้หรือไม่? น้ำมันราชาภิเษกถูกทำลายในปี 1941 ระหว่างการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยน้ำมันราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ถูกทำขึ้นจากสูตรในศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีน้ำมันมะกอก เมล็ดงา และน้ำหอมที่มีส่วนประกอบของดอกกุหลาบ ดอกส้ม ดอกมะลิ ขี้ฬาร (ambergris) และอบเชย
หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘พิธีถวายตัว’ ซึ่งส่วนนี้ของพิธีถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากจนเป็นส่วนเดียว และในพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก็ไม่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ด้วย
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 กษัตริย์ผู้ปกครองอังกฤษจะได้รับการเจิมโดยใช้ช้อนราชาภิเษก ซึ่งเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพิธีบรมราชาภิเษกที่เก่าแก่ที่สุด
แล้วรู้หรือไม่? น้ำมันราชาภิเษกถูกทำลายในปี 1941 ระหว่างการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยน้ำมันราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ถูกทำขึ้นจากสูตรในศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีน้ำมันมะกอก เมล็ดงา และน้ำหอมที่มีส่วนประกอบของดอกกุหลาบ ดอกส้ม ดอกมะลิ ขี้ฬาร (ambergris) และอบเชย
4. หนังสือยุคกลาง ‘Liber Regalis’ เป็นคู่มือในพระราชพิธี

‘Liber Regalis’ หรือ ‘หนังสือของราชวงศ์’ ต้นฉบับที่เขียนรายละเอียดลำดับพิธีราชาภิเษก (ซึ่งเป็นพิธีพิเศษที่กษัตริย์หรือราชินีองค์ใหม่จะได้สวมมงกุฎ) เป็นภาษาละตินในปี 1382 และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1603 สำหรับพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 “พิธีในวันนี้เมื่อปี 1603 อิงจากการแปลเอกสารที่ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 14” วอคกิงกล่าว
แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่า Liber Regalis ถูกสร้างขึ้นเพื่อใคร แต่ก็คาดว่ามันถูกสร้างขึ้นก่อนพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ริชาร์ดที่ 2 และราชินีแอนน์แห่งโบฮีเมีย
พิธีบรมราชาภิเษกประกอบด้วยส่วนต่างๆ พระมหากษัตริย์จะปรากฏตัวต่อหน้าประชาชน (การยอมรับ) ให้คำสัตย์สาบานกับพระเจ้า (คำสาบาน) รับพรด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ (การเจิม) และรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ได้แก่ดาบ ลูกโลกประดับกางเขน พระธำมรงค์ราชาภิเษก คทา ไม้เท้า และสวมมงกุฎ (การมอบหมายอำนาจ)
อย่างไรก็ดี Liber Regalis แสดงให้เราเห็นถึงระเบียบพิธีการของคริสเตียนที่ใช้กันมานานหลายร้อยปี โดยรายละเอียดของพิธีราชาภิเษกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ลำดับพื้นฐานของพิธีคริสเตียนนี้ยังคงเหมือนเดิมดังที่ได้อธิบายไว้ใน Liber Regalis
แม้จะไม่ทราบแน่ชัดว่า Liber Regalis ถูกสร้างขึ้นเพื่อใคร แต่ก็คาดว่ามันถูกสร้างขึ้นก่อนพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ริชาร์ดที่ 2 และราชินีแอนน์แห่งโบฮีเมีย
พิธีบรมราชาภิเษกประกอบด้วยส่วนต่างๆ พระมหากษัตริย์จะปรากฏตัวต่อหน้าประชาชน (การยอมรับ) ให้คำสัตย์สาบานกับพระเจ้า (คำสาบาน) รับพรด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ (การเจิม) และรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ได้แก่ดาบ ลูกโลกประดับกางเขน พระธำมรงค์ราชาภิเษก คทา ไม้เท้า และสวมมงกุฎ (การมอบหมายอำนาจ)
อย่างไรก็ดี Liber Regalis แสดงให้เราเห็นถึงระเบียบพิธีการของคริสเตียนที่ใช้กันมานานหลายร้อยปี โดยรายละเอียดของพิธีราชาภิเษกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ลำดับพื้นฐานของพิธีคริสเตียนนี้ยังคงเหมือนเดิมดังที่ได้อธิบายไว้ใน Liber Regalis
5. ‘เวสต์มินเตอร์’ มหาวิหารที่จัดพิธีราชาภิเษกมาเกือบ 1,000 ปีแล้ว

มหาวิหารเวสต์มินเตอร์ สถานที่ที่ใช้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาตลอดนับตั้งแต่ปี 1066 ในพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ จนปัจจุบันเป็นพิธีทางศาสนาที่จัดในวิหารแห่งนี้ราว 957 ปีแล้ว “มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ไม่ได้มีแค่ประวัติศาสตร์ทางศาสนาหรือราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังเคยเป็นบ้านสุสานนักรบนิรนามอีกด้วย” เชอร์น็อค กล่าว
มหาวิหารดังกล่าวไม่ได้ควบคุมโดยคริสตจักรแห่งอังกฤษ เนื่องจากเป็นวิหาร ‘เฉพาะของราชวงศ์’ หรือคริสตจักรที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของอธิปไตย ดังนั้นจึงไม่ขึ้นอยู่กับบิชอปหรืออาร์คบิชอปคนใดคนหนึ่ง
ขณะที่วิหารอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์ ได้แก่ วิหารเซนต์จอร์จในพระราชวังวินด์เซอร์ ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 วิหาร ‘Chapel Royal’ ณ พระราชวังฮอลีรูด และวิหารอีกหลายแห่งในลอนดอน
อย่างไรก็ดี มหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่จัดพิธีราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์มาแล้วทุกพระองค์ตั้งแต่พระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ยกเว้นกษัตริย์อยู่ 2 พระองค์ที่ไม่ได้จัดพระราชพิธีสวมมงกุฎนี้ ได้แก่ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8
สำหรับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา และทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 1483 แต่ยังไม่ทันได้เข้าพิธีสวมมงกุฎ พระองค์ก็ถูกปลดและหายตัวสาบสูญไป (คาดว่าอาจถูกปลงพระชนม์) ส่วนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงสละราชบัลลังก์หลังครองราชย์ได้ไม่ถึง 1 ปี เพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สัน หรือดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ จนเรียกได้ว่าเป็น ‘วิกฤตการณ์สละราชสมบัติ’
มหาวิหารดังกล่าวไม่ได้ควบคุมโดยคริสตจักรแห่งอังกฤษ เนื่องจากเป็นวิหาร ‘เฉพาะของราชวงศ์’ หรือคริสตจักรที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของอธิปไตย ดังนั้นจึงไม่ขึ้นอยู่กับบิชอปหรืออาร์คบิชอปคนใดคนหนึ่ง
ขณะที่วิหารอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์ ได้แก่ วิหารเซนต์จอร์จในพระราชวังวินด์เซอร์ ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 วิหาร ‘Chapel Royal’ ณ พระราชวังฮอลีรูด และวิหารอีกหลายแห่งในลอนดอน
อย่างไรก็ดี มหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่จัดพิธีราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์มาแล้วทุกพระองค์ตั้งแต่พระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ยกเว้นกษัตริย์อยู่ 2 พระองค์ที่ไม่ได้จัดพระราชพิธีสวมมงกุฎนี้ ได้แก่ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8
สำหรับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา และทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 1483 แต่ยังไม่ทันได้เข้าพิธีสวมมงกุฎ พระองค์ก็ถูกปลดและหายตัวสาบสูญไป (คาดว่าอาจถูกปลงพระชนม์) ส่วนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงสละราชบัลลังก์หลังครองราชย์ได้ไม่ถึง 1 ปี เพื่อแต่งงานกับวอลลิส ซิมป์สัน หรือดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ จนเรียกได้ว่าเป็น ‘วิกฤตการณ์สละราชสมบัติ’
6. มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด

‘มงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด (St Edward's Crown)’ สร้างขึ้นสำหรับพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ในปี 1661 เพื่อใช้ในพิธีราชาภิเษก โดยใช้ทดแทนมงกุฎยุคกลางซึ่งถูกทำลายไปในปี 1649 ช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ
มงกุฎทองคำแท้สูง 30 เซนติเมตร (12 นิ้ว) หนัก 2.23 กิโลกรัม (4.9 ปอนด์) และประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าและกึ่งมีค่า 444 ชิ้น รวมทั้งทับทิม ไพลิน โกเมน และทัวร์มาลีน
หลังจากปี 1689 ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดใช้มงกุฎในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เป็นเวลานานกว่า 200 ปี จนในปี 1911 มงกุฎก็ได้รับการฟื้นฟูโดยพระเจ้าจอร์จที่ 5 และยังคงดำเนินการใช้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระทั่งในปี 1953 มงกุฎก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งในพิธีราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2
ปัจจุบันมงกุฎถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในหอคอยแห่งลอนดอน และสำหรับพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ พระองค์จะเป็นกษัตริย์องค์ที่ 7 ที่ได้สวมมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด
นอกจากนี้ พระองค์จะสวมมงกุฎอิมพีเรียลสเตต (Imperial State Crown) ในระหว่างพิธีราชาภิเษกด้วย ซึ่งเป็นมงกุฎที่วางบนโลงพระบรมศพของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เดิมทีผลิตขึ้นเพื่อพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในปี 1937 แทนที่มงกุฎที่ทำขึ้นสำหรับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียในปี 1838 และถูกสวมใส่โดยควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในพิธีบรมราชาภิเษก
แล้วราชินีคามิลลาจะทรงสวมมงกุฎอะไรในพิธีราชาภิเษก? คำตอบคือ ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าราชินีจะได้สวมมงกุฎใด แต่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นมงกุฎของควีนเอลิซาเบธที่ 2 หรือมงกุฎของราชินีแอดิเลดปี 1831 หรือจะสวมมงกุฎของราชินีอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก หรือของราชินีแมรีแห่งเท็ค (เจ้าหญิงวิกตอเรีย)
มงกุฎทองคำแท้สูง 30 เซนติเมตร (12 นิ้ว) หนัก 2.23 กิโลกรัม (4.9 ปอนด์) และประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าและกึ่งมีค่า 444 ชิ้น รวมทั้งทับทิม ไพลิน โกเมน และทัวร์มาลีน
หลังจากปี 1689 ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดใช้มงกุฎในช่วงศตวรรษที่ 18-19 เป็นเวลานานกว่า 200 ปี จนในปี 1911 มงกุฎก็ได้รับการฟื้นฟูโดยพระเจ้าจอร์จที่ 5 และยังคงดำเนินการใช้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระทั่งในปี 1953 มงกุฎก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งในพิธีราชาภิเษกของควีนเอลิซาเบธที่ 2
ปัจจุบันมงกุฎถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในหอคอยแห่งลอนดอน และสำหรับพิธีราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ พระองค์จะเป็นกษัตริย์องค์ที่ 7 ที่ได้สวมมงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด
นอกจากนี้ พระองค์จะสวมมงกุฎอิมพีเรียลสเตต (Imperial State Crown) ในระหว่างพิธีราชาภิเษกด้วย ซึ่งเป็นมงกุฎที่วางบนโลงพระบรมศพของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เดิมทีผลิตขึ้นเพื่อพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ในปี 1937 แทนที่มงกุฎที่ทำขึ้นสำหรับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียในปี 1838 และถูกสวมใส่โดยควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในพิธีบรมราชาภิเษก
แล้วราชินีคามิลลาจะทรงสวมมงกุฎอะไรในพิธีราชาภิเษก? คำตอบคือ ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าราชินีจะได้สวมมงกุฎใด แต่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นมงกุฎของควีนเอลิซาเบธที่ 2 หรือมงกุฎของราชินีแอดิเลดปี 1831 หรือจะสวมมงกุฎของราชินีอเล็กซานดราแห่งเดนมาร์ก หรือของราชินีแมรีแห่งเท็ค (เจ้าหญิงวิกตอเรีย)
7. ‘ไก่โคโรเนชัน’ เมนูเฉลิมฉลองพิธีบรมราชาภิเษก

‘ไก่โคโรเนชัน (Coronation Chicken)’ หรือ ‘Poulet Reine Elizabeth’ ปัจจุบันถูกพัฒนาไปเป็นไส้แซนวิชที่รู้จักกันดี และถูกสร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1953 โดย คอนสแตนซ์ สปราย นักเขียนด้านอาหารและนักจัดดอกไม้ชาวอังกฤษ และ โรสแมรี ฮูม พ่อครัวจากสถาบัน เลอ กอร์ดอง เบลอ ลอนดอน (Le Cordon Bleu London)
โดยเป็นเมนูสำหรับแขกต่างประเทศที่เข้าร่วมพิธีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ซึ่งเสิร์ฟเป็นไก่เย็นเนื้อติดกระดูกเคลือบซอสครีมแกงกะหรี่พร้อมสลัดข้าว ถั่วลันเตา พริกเม็ดใหญ่และสมุนไพรรวม
สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เมนูนี้ได้มาจาก ‘Jubilee chicken’ ซึ่งเป็นไก่แกงกะหรี่มายองเนสที่รับประทานในงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบรอบ 25 ปีของกษัตริย์จอร์จที่ 5 พระอัยกา (ปู่) ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1935 นอกจากนี้ ยังกลายเป็นเมนูที่ใช้เสิร์ฟในงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 50 ปีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 2002 อีกด้วย
อย่างไรก็ดี สำหรับเมนูอาหารที่จะใช้เสิร์ฟแขกในงานราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน จึงมีการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าอาหารจานใดจะถูกเสกขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนี้
ดูเหมือนว่าพระเจ้าชาร์ลส์จะทรงโปรดสลัดผลไม้ และคาดว่าอาจจะมีเมนูพายดั้งเดิมอย่างพายแลมป์เพรย์ หรือพายปลาไหล ที่เคยใช้เสิร์ฟในงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบรอบ 25 ปีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1977 แต่ในงานของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 อาจจะไม่ใช้ปลาแลมป์เพรย์
นอกจากนี้แล้ว ในรายละเอียดงานราชาภิเษกยังระบุด้วยว่าจะมีงานเลี้ยง ‘Big Lunch’ ปาร์ตี้ริมถนนและปิกนิกในวันที่ 7 พฤษภาคมเพื่อระดมเงินบริจาคเป็นการกุศล โดยมีการแข่งขันเพื่อให้ประชาชนคิดสูตรอาหารแม้ว่าจะไม่มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการจากราชวงศ์ก็ตาม
และนี่คือเรื่องน่ารู้ 7 ประการเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของอังกฤษและพิธีกรรมของราชวงศ์ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน แม้จะไม่เหมือนเดิมตามต้นฉบับเป๊ะๆ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ติดตามเรื่องราวบัลลังก์ราชาภิเษก 700 ปี ได้ที่ลิงก์นี้
โดยเป็นเมนูสำหรับแขกต่างประเทศที่เข้าร่วมพิธีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ซึ่งเสิร์ฟเป็นไก่เย็นเนื้อติดกระดูกเคลือบซอสครีมแกงกะหรี่พร้อมสลัดข้าว ถั่วลันเตา พริกเม็ดใหญ่และสมุนไพรรวม
สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เมนูนี้ได้มาจาก ‘Jubilee chicken’ ซึ่งเป็นไก่แกงกะหรี่มายองเนสที่รับประทานในงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบรอบ 25 ปีของกษัตริย์จอร์จที่ 5 พระอัยกา (ปู่) ของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1935 นอกจากนี้ ยังกลายเป็นเมนูที่ใช้เสิร์ฟในงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบ 50 ปีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 2002 อีกด้วย
อย่างไรก็ดี สำหรับเมนูอาหารที่จะใช้เสิร์ฟแขกในงานราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 นั้นยังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน จึงมีการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าอาหารจานใดจะถูกเสกขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนี้
ดูเหมือนว่าพระเจ้าชาร์ลส์จะทรงโปรดสลัดผลไม้ และคาดว่าอาจจะมีเมนูพายดั้งเดิมอย่างพายแลมป์เพรย์ หรือพายปลาไหล ที่เคยใช้เสิร์ฟในงานเฉลิมฉลองครองราชย์ครบรอบ 25 ปีของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1977 แต่ในงานของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 อาจจะไม่ใช้ปลาแลมป์เพรย์
นอกจากนี้แล้ว ในรายละเอียดงานราชาภิเษกยังระบุด้วยว่าจะมีงานเลี้ยง ‘Big Lunch’ ปาร์ตี้ริมถนนและปิกนิกในวันที่ 7 พฤษภาคมเพื่อระดมเงินบริจาคเป็นการกุศล โดยมีการแข่งขันเพื่อให้ประชาชนคิดสูตรอาหารแม้ว่าจะไม่มีผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการจากราชวงศ์ก็ตาม
และนี่คือเรื่องน่ารู้ 7 ประการเกี่ยวกับพิธีราชาภิเษกของอังกฤษและพิธีกรรมของราชวงศ์ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน แม้จะไม่เหมือนเดิมตามต้นฉบับเป๊ะๆ แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ติดตามเรื่องราวบัลลังก์ราชาภิเษก 700 ปี ได้ที่ลิงก์นี้
