พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ แสดงความเห็นถึงนโยบายที่รัฐบาลจะพิจารณาปิดผับ หรือ สถานบันเทิงตี 4 ว่า หากจะนำมาปฏิบัติใช้จำเป็นจะต้องมีการจัดโซนนิ่งและควรให้ใบอนุญาตสถานประกอบการบางรายเท่านั้น
เนื่องจากประเมินว่าสถานประกอบการที่จะสามารถให้บริการถึงตี 4 ได้จำเป็นจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ กติกา และมีความสามารถในการดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนในละแวกชุมชน และ ข้อสำคัญที่สุด คือ ต้องเลือกเฉพาะบางพื้นที่ หรือ โซนที่มีความพร้อม และมีการรับฟังความคิดเห็นคนในละแวกดังกล่าวอย่างรอบด้าน
สำหรับในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เสนอย่านถนนช้างคลาน ตลาดไนท์บาร์ซ่า และตลาดอนุสาร ซึ่งเป็นจุดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็น เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติยาวนานกว่า 30 ปี
และปัจจุบันต้องยอมรับว่า สถานบันเทิงบางแห่ง ก็เปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยใช้วิธีจ่ายใต้โต๊ะให้กับผู้มีอำนาจ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีเม็ดเงินนับหมื่นล้านที่หมุนเวียนอยู่ในกระบวนเหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลจะทำอย่างไร เพื่อให้เม็ดเงินเหล่านี้ขึ้นมาอยู่บนดิน เพื่อให้ประชาชนและรัฐบาลได้ประโยชน์

อย่าโลกสวย ว่าทุกวันนี้ ไม่มีผับเปิดเกินเวลา เม็ดเงินนับหมื่นล้าน ที่อยู่กับการจ่ายใต้โต๊ะ จะทำยังไงให้เม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชน และรัฐบาลได้ประโยชน์
พัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่
พัลลภ แซ่จิว ประเมินว่าหากรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายปิดผับตี 4 ได้จริง จะมีเม็ดเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวในพื้นที่มากขึ้น โดยสมาคมร้านอาหารและสถานบันเทิงเชียงใหม่ เคยออกมาระบุว่า การยืดระยะเวลาในการให้บริการในนานขึ้น การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว 1 โต๊ะ จะเพิ่มใช้จ่ายเฉลี่ย 1,000 บาทต่อ 1 ชั่วโมง
สำหรับปัจจุบันค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวไทยอยู่ที่ 2,000 บาทต่อวัน ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 4,000 ถึง 5,000 บาทต่อวัน นักท่องเที่ยวต่างชาติใน 1 ทริป ระยะเวลา 4-5 วัน ใช้จ่ายเฉลี่ย 20,000 บาท
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของมาตรการปิดผับตี 4 ในจ.เชียงใหม่ คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มยุโรป อินเดีย ยูเครน รัสเซีย และ อเมริกัน รวมถึง นักท่องเที่ยวไทยบางส่วน
ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ทิ้งท้ายว่า เห็นด้วย หากจะเริ่มใช้นโยบายปิดผับตี 4 ช่วงสิ้นปี 2566 เพราะปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพี ถึง 20 % ซึ่งปลดล็อกกฎระเบียบเหล่านี้รัฐบาลไม่ต้องใช้งบประมาณเพิ่ม เพราะธุรกิจท่องเที่ยวสามารถขับเคลื่อนได้เอง
แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ต้องประเมินผลกระทบทางด้านสังคม และวางแผนรับมือกับผลกระทบที่จะตามมาจากนโยบายนี้เช่นกัน
ข่าวที่น่าสนใจ