ถึงแม้รัฐบาลจะปั่นกระแสเศรษฐกิจวิกฤต แบงก์ชาติต้องลดดอกเบี้ย ระดมสรรพกำลังออกมากดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สุดท้ายที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)วานนี้ ยึดหลักความถูกต้องอยู่เหนือเรื่องถูกใจ คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม 2.50% ต่อปี ด้วยมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 เสียง
เป็นสัญญาณจากแบงก์ชาติว่า เศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต แม้จะโตช้า แต่ไม่ต้องกระตุ้น เพราะการบริโภคภายในประเทศยังเติบโตได้ดี
ดอกเบี้ยนโยบาย คือ ดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางจ่ายให้แบงก์พาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือ เก็บจากแบงก์ที่มากู้เงิน เป็นเครื่องมือหนึ่งของแบงก์ชาติ ในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ไม่ให้เกินเป้าหมาย 3% ต่อปี และเป็นดอกเบี้ยอ้างอิงหรือ Bench Mark ให้ดอกเบี้ยเงินกู้ /เงินฝากของธนาคารพาณิชย์
ธนาคารพาณิชย์จะลด/ขึ้นดอกเบี้ย เท่าใด เป็นเรื่องของแต่ละธนาคาร โดยดูจากปัจจัยต่างๆ แบงก์ชาติทำได้แค่ ส่งสัญญาณว่า ควรจะขึ้นหรือลดดอกเบี้ย แต่ไม่มีอำนาจไปสั่งธนาคารพาณิชย์
ดังนั้น เมื่อแบงก์ชาติไม่ยอมลดดอกเบี้ยนโยบาย รัฐบาลและกระทรวงการคลังก็สามารถสั่งให้แบงก์รัฐในเครือ คือ ธนาคารกรุงไทยหรือ KTB ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ 1 ใน 4 ของประเทศ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซี่งเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ มีส่วนแบ่งตลาดถึง 1 ใน 3 ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารสำหรับผู้ค้าขายรายย่อย ธนาคารเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนของธุรกิจเอสเอ็มอี และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ลดดอกเบี้ยได้ทันที โดยไม่ต้องไปกดดันให้แบงกชาติลดดอกเบี้ยนโยบาย
ธนาคารรัฐแต่ละแห่งที่ว่ามานี้ ล้วนแต่เป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อแต่ละประเภท มีฐานลูกค้าหลายสิบล้านคน ถ้าลดดอกเบี้ยมากพอ เช่น ไม่ต่ำกว่า 1% และลดเป็นระยะเวลานาน ๆ 1-3 ปี ในที่สุด ธนาคารพาณิชย์ของเอกชนอื่น ๆ ก็ต้องหันมาลดดอกเบี้ยตาม
ธนาคารรัฐเหล่านี้ อาจจะกำไรลดลง หรือบางแห่งขาดทุน ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าดอกเบี้ยลดลงมาแล้ว เศรษฐกิจจะดีขึ้น ตามที่รัฐบาลเชื่อ รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น เอาเงินมาชดเชยให้ภายหลังได้
เป็นการชี้นำตลาดโดยใช้แบงก์รัฐเป็นเครื่องมือ ไม่ต้องไปยืมจมูกแบงก์ชาติหายใจ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบาย พอแบงก์ชาติไม่ทำตาม ก็ทำอะไรไม่ได้ นายกฯ เสียหน้า รมต.คลัง เสียฟอร์มเปล่า ๆ