อธิบดีกรมอุทยานฯ สั่งเอาผิดเรือขนส่งสินค้าสัญชาติเมียนมา ที่เกยตื้นแนวปะการังในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ถึงที่สุด พร้อมเรียกค่าเสียหายกว่า 12 ล้านบาท สั่งเร่งกู้ซากเรือเพื่อให้กระทบต่อแนวปะการังน้อยที่สุด
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า จากกรณีเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติเมียนมา “MV.AYAR LINN” เกยตื้นบนแนวปะการังบริเวณอ่าวจากอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา กรมอุทยานฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประเมินความเสียหายและกำหนดแนวทางดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้รับผิดชอบอย่างถึงที่สุด ทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง พร้อมจัดทำตัวเลขเรียกค่าชดเชยต่อทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบ

จากผลการสำรวจเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ พบว่าแนวปะการังได้รับความเสียหายเป็นระยะทางประมาณ 75 เมตร โดยเฉพาะช่วงระยะ 45–75 เมตร ที่ตัวเรือทับอยู่โดยตรง คาดว่าพื้นที่ปะการังที่เสียหายมีขนาดประมาณ 150 ตารางเมตร โดยชนิดปะการังที่ได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่

- ปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) เสียหายประมาณ 80%
- ปะการังเขากวาง (Acropora sp.) 15%
- ปะการังโขด (Porites lutea) 5%
และยังพบปะการังแตกหักอีกหลายโคโลนี เช่น ปะการังสมองร่องสั้น (Platygyra daedalea), ปะการังดอกกะหล่ำ (Pocillopora), และปะการังดาวเหลี่ยม (Leptastrea purpurea)

นอกจากนี้ ยังพบขยะจากตัวเรือ อาทิ กระดาษลัง เศษผ้า ยางรถบรรทุก และสายยาง ตกค้างและติดอยู่ตามแนวปะการัง อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของระบบนิเวศทางทะเล
อธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุว่า การประเมินค่าชดเชยใช้เกณฑ์มาตรฐานของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยพิจารณาค่าทดแทนจากการฟื้นฟู ค่าความเสียโอกาสทางระบบนิเวศ และค่าดำเนินการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 12,035,477.50 บาท แบ่งเป็น
- ค่าฟื้นฟูแนวปะการัง 10,003,927.50 บาท
- ค่าความเสียโอกาส 1,631,550 บาท
- ค่าดำเนินการ 400,000 บาท

ทั้งนี้ กรมอุทยานฯ ได้สั่งการให้เร่งรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งดำเนินคดีทั้งในด้านอาญาและแพ่ง รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, ศูนย์วิจัยทางทะเล, เจ้าท่าภูมิภาค, ศรชล., หน่วยทหารเรือ และตำรวจภูธรคุระบุรี เพื่อกำหนดแผนการกู้เรือโดยให้เกิดผลกระทบต่อปะการังน้อยที่สุด พร้อมวางแผนฟื้นฟูร่วมกับนักวิชาการและภาคีเครือข่ายอย่างใกล้ชิด

5 มาตรการเร่งด่วน
ด้านนายเกรียงไกร เพาะเจริญ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เผยว่าจากการร่วมหารือในประเด็นต่างๆ ได้ข้อสรุปแนวทางการแผนการจัดการ 5 มาตรการเร่งด่วน ดังนี้
1. การป้องกันการรั่วไหลของน้ำมัน เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดำน้ำ อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ได้สำรวจสภาพเรือทั้งภายนอกและภายในตัวเรืออย่างละเอียด พร้อมทั้งสำรวจตำแหน่งถังน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือ เพื่อปิดวาล์วท่อรับและท่อส่งน้ำมันภายในตัวเรือ ป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เตรียมความพร้อมควบคุมน้ำมันรั่ว อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ประสานขอสนับสนุนทุ่นกักน้ำมัน (Oil Boom) เพื่อควบคุมปริมาณน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำไม่ให้แยกออกจากกัน และไม่ไหลไปตามกระแสน้ำ หากเกิดการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานเจ้าท่า จ.หวัดภูเก็ต ศรชล.ภาค 3 และภาคีเครือข่ายภาคเอกชน
3. เตรียมทีมฉุกเฉิน ประสานขอสนับสนุน “เรือหลวงปันหยี” เจ้าหน้าที่ พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์จากฐานทัพเรือพังงา ผ่านศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ศรชล.ภาค 3) สำหรับกรณีเกิดการรั่วไหลในปริมาณมาก
4. ดำเนินคดีตามกฎหมาย ด้าน สภ.คุระบุรี ดำเนินการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาอย่างเข้มข้น ฐานความผิดตามที่อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อหาพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารเรือและการเข้าออกประเทศ ในส่วนของประประเมินมูลค่าความเสียหายต่อทรัพยากร อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ร่วมมือกับกรมทรัพยากรชายฝั่ง และศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จ.ภูเก็ต ทำการเก็บข้อมูลความเสียหายประกอบการร้องทุกข์กล่าวโทษ แก่เจ้าของเรือลำดังกล่าว
5. แนวทางฟื้นฟูทรัพยากรใต้น้ำ อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต นักวิชาการทางทะเล และกลุ่มภาคีเครือข่ายนักดำน้ำ ร่วมกันสำรวจสภาพความเสียหายของทรัพยากรใต้น้ำอย่างละเอียด พร้อมเก็บขยะที่ปลิวจากเรือ (กระดาษลัง เศษผ้า ยางรถบรรทุก สายยาง) และดำเนินการประกาศปิดพื้นที่บริเวณดังกล่าว เพื่อให้ทรัพยากรธรรมชาติได้ฟื้นฟู