สงครามบุฟเฟต์! เมื่อชาบูหม้อเดือด (อาจ)เร่งให้โลกเดือดรุนแรงขึ้น

18 มิ.ย. 2568 - 05:29

  • เบื้องหลังสงครามบุฟเฟต์สุกี้หม้อร้อนอาจสร้าง “ขยะอาหาร” ที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • ขยะอาหาร (Food Waste) มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 8-10% ของโลก มากกว่าภาคการบินทั้งโลกถึง 4 เท่า!!

  • คนไทยทิ้งอาหารเฉลี่ย 86 กก.ต่อคนต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 79 กก.ต่อคนต่อปี

สงครามบุฟเฟต์! เมื่อชาบูหม้อเดือด (อาจ)เร่งให้โลกเดือดรุนแรงขึ้น

การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะในสมรภูมิ “สุกี้หม้อร้อน” ที่วันนี้ไม่ได้วัดกันแค่รสชาติหรือบรรยากาศ แต่ถูกลากเข้าสู่สงครามราคาที่เดือดระอุ โดย MK สุกี้ เจ้าตลาดมายาวนานต้องลงสนามท้าชนกับผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง สุกี้ตี๋น้อย ที่มาแรงเกินต้าน

ภาพรวมตลาดสุกี้และชาบูปี 2568 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ามีมูลค่ารวมถึง 25,000 ล้านบาท กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ MK เปิดโปรโมชัน “บุฟเฟ่ต์ 299 บาท” ตัดราคาจากปกติ 499 บาท พร้อมลดเมนูเหลือเพียง 19 รายการ ขณะที่ตี๋น้อยสวนกลับทันควันด้วย “บุฟเฟ่ต์ 199 บาท” สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” มากกว่าภาพลักษณ์แบรนด์

แม้ว่าการงัดโปรโชว์เหนือด้วยโปรโมชันบุฟเฟต์ราคาสุดคุ้มจะสร้างกระแสและกลายเป็น Talk of the town ในโลกออนไลน์ ส่งผลให้ประโยชน์ตกอยู่ที่ “ผู้บริโภค” เพราะความคุ้มค่า ทว่า เบื้องหลังความคึกคักนี้อาจตามมาด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน การบริโภคเกินจำเป็น และผลกระทบจากขยะอาหาร (Food Waste)ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจลืมคิดเรื่องนี้ก็มีแต่เจ๊ง...กับเจ๊ง และโลกอาจเป็นผู้แพ้ตัวจริงในศึกครั้งนี้

sustainability-buffet-wars-boost-food-waste-speed-up-global-warming-SPACEBAR-Photo01.jpg

ตลาดบุฟเฟต์ร้อนระอุ ท้าทายความยั่งยืน 

บุฟเฟ่ต์ราคาถูก = ขยะอาหารเพิ่ม?

โมเดลบุฟเฟต์ที่ให้ผู้บริโภคกินไม่อั้นในราคาที่ถูกลง แน่นอนว่าสร้างแรงดึงดูดมหาศาล แต่ก็เปิดช่องให้เกิดการบริโภคเกินความจำเป็น จานอาหารเหลือทิ้งจำนวนมากกลายเป็น ขยะอาหาร (Food Waste) ที่ไม่ได้ถูกกิน และไม่มีวันถูกใช้ประโยชน์อีกต่อไป

เมื่ออาหารถูกทิ้ง สิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่มื้อหนึ่ง แต่มันคือทรัพยากรทั้งระบบ ตั้งแต่น้ำ พลังงาน ปุ๋ย ยาแรงงาน แรงงาน และการขนส่ง ที่ใช้ในการผลิตและนำอาหารนั้นมาถึงโต๊ะผู้บริโภค

แถมเมื่ออาหารเหล่านั้นลงเอยในหลุมฝังกลบ ยังปล่อย ก๊าซมีเทน (Methane) หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ถึง 20 กว่าเท่าตัว

รู้หรือไม่?

  • ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ทิ้งอาหารมากที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยทิ้งอาหารมากถึง 86 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 79 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
  • ใน 1 วัน มีอาหารเหลือทิ้งกว่า 1,000 ล้านมื้อ และปริมาณขยะอาหารจากครัวเรือนเป็นสัดส่วนสูงสุด
  • ขยะอาหารมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 8-10% ของโลก มากกว่าภาคการบินทั้งโลกถึง 4 เท่า!!
  • หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซของ “ขยะอาหาร” เป็นประเทศ มันจะกลายเป็น “ประเทศขยะเปียก” ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น

ความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร

...เมื่อขยะอาหารจานหนึ่ง คือความหิวโหยของคนอีกหลายคน

ในขณะที่อาหารจำนวนมหาศาลถูกทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ เร่งโลกร้อน รายงานวิกฤตการณ์อาหารโลก ปี 2024 พบประชากรเกือบ 282 ล้านคน ใน 59 ประเทศ กำลังเผชิญปัญหาความอดอยาก

ทุก 1 ใน 5 ของอาหารที่ผลิตได้ทั่วโลกจะถูกทิ้งทั้งที่ยังสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย ช่องว่างนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน

องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุ

จากหม้อสุกี้สู่เป้าหมายระดับโลก

เรื่องขยะอาหารไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาระดับร้านอาหารหรือผู้บริโภค แต่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายที่สำคัญ 3 ข้อ คือ

SDG 2: ขจัดความหิวโหย – ขณะที่บางคนทิ้งอาหารที่ยังกินได้ คนอีกจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงอาหารที่เพียงพอ

SDG 12: การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน – โดยเฉพาะเป้าหมายย่อย 12.3 ที่เรียกร้องให้ “ลดขยะอาหารต่อหัวลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030”

SDG 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – เพราะขยะอาหารคือหนึ่งในต้นตอการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบไม่จำเป็น

การลดขยะอาหารจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและใช้ต้นทุนต่ำที่สุดในการช่วยโลก แต่กลับถูกมองข้ามในสมรภูมิธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับยอดขายและกำไรเป็นหลัก

World_Food_Day_2024_SPACEBAR_Photo03.jpg

อาหารยั่งยืน ต้องเริ่มที่ความพอดี

การแข่งขันที่ขับเคลื่อนด้วยราคาอาจทำให้ร้านอาหารหลายแห่งต้องหั่นต้นทุน ลดคุณภาพ เพิ่มปริมาณเพื่อให้ดูคุ้มค่า แต่โมเดลนี้อาจย้อนกลับมาทำร้ายทั้งธุรกิจ ผู้บริโภค และโลกใบนี้

คำถามสำคัญคือ “เราจะโตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืนหรือไม่?” หากร้านอาหารเริ่มตระหนักว่าการบริโภคแบบไม่จำกัด ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจอีกต่อไป แต่การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ผลิตอาหารเกินจำเป็น ใช้ระบบวิเคราะห์ความต้องการ – ปริมาณ – พฤติกรรมลูกค้า มาออกแบบเมนูและวัตถุดิบให้แม่นยำมากขึ้น คือหนทางที่ควรเดิน

เทคโนโลยีอย่าง AI ระบบตรวจสอบสต็อกอัตโนมัติ หรือการรีไซเคิลเศษอาหารเพื่อผลิตพลังงานชีวภาพ เริ่มเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจอาหารต้องนำมาใช้ หากต้องการสร้าง “ความยั่งยืนที่แท้จริง”

ผู้ชนะอาจไม่ใช่ผู้ที่ “ราคาถูก” ที่สุด แต่ต้องทำให้ “ถูกทาง” มากที่สุด

ในระยะยาว ผู้ชนะของสงครามสุกี้หม้อเดือดอาจไม่ใช่ฝ่ายที่ให้ราคาถูกที่สุด แต่คือผู้ที่สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้โดยไม่ทำร้ายโลก ผู้ที่วางระบบจัดการอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขยะอาหารโดยไม่ลดคุณค่า และเข้าใจว่า “ทุกขยะอาหารที่ทิ้งไป อาจเร่งให้โลกร้อนกว่าที่เป็นอยู่”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์