การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารไม่เคยหยุดนิ่ง โดยเฉพาะในสมรภูมิ “สุกี้หม้อร้อน” ที่วันนี้ไม่ได้วัดกันแค่รสชาติหรือบรรยากาศ แต่ถูกลากเข้าสู่สงครามราคาที่เดือดระอุ โดย MK สุกี้ เจ้าตลาดมายาวนานต้องลงสนามท้าชนกับผู้เล่นหน้าใหม่อย่าง สุกี้ตี๋น้อย ที่มาแรงเกินต้าน
ภาพรวมตลาดสุกี้และชาบูปี 2568 ที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่ามีมูลค่ารวมถึง 25,000 ล้านบาท กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ MK เปิดโปรโมชัน “บุฟเฟ่ต์ 299 บาท” ตัดราคาจากปกติ 499 บาท พร้อมลดเมนูเหลือเพียง 19 รายการ ขณะที่ตี๋น้อยสวนกลับทันควันด้วย “บุฟเฟ่ต์ 199 บาท” สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” มากกว่าภาพลักษณ์แบรนด์
แม้ว่าการงัดโปรโชว์เหนือด้วยโปรโมชันบุฟเฟต์ราคาสุดคุ้มจะสร้างกระแสและกลายเป็น Talk of the town ในโลกออนไลน์ ส่งผลให้ประโยชน์ตกอยู่ที่ “ผู้บริโภค” เพราะความคุ้มค่า ทว่า เบื้องหลังความคึกคักนี้อาจตามมาด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน การบริโภคเกินจำเป็น และผลกระทบจากขยะอาหาร (Food Waste)ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากฝั่งผู้ประกอบการธุรกิจลืมคิดเรื่องนี้ก็มีแต่เจ๊ง...กับเจ๊ง และโลกอาจเป็นผู้แพ้ตัวจริงในศึกครั้งนี้

ตลาดบุฟเฟต์ร้อนระอุ ท้าทายความยั่งยืน
บุฟเฟ่ต์ราคาถูก = ขยะอาหารเพิ่ม?
โมเดลบุฟเฟต์ที่ให้ผู้บริโภคกินไม่อั้นในราคาที่ถูกลง แน่นอนว่าสร้างแรงดึงดูดมหาศาล แต่ก็เปิดช่องให้เกิดการบริโภคเกินความจำเป็น จานอาหารเหลือทิ้งจำนวนมากกลายเป็น ขยะอาหาร (Food Waste) ที่ไม่ได้ถูกกิน และไม่มีวันถูกใช้ประโยชน์อีกต่อไป
เมื่ออาหารถูกทิ้ง สิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่มื้อหนึ่ง แต่มันคือทรัพยากรทั้งระบบ ตั้งแต่น้ำ พลังงาน ปุ๋ย ยาแรงงาน แรงงาน และการขนส่ง ที่ใช้ในการผลิตและนำอาหารนั้นมาถึงโต๊ะผู้บริโภค
แถมเมื่ออาหารเหล่านั้นลงเอยในหลุมฝังกลบ ยังปล่อย ก๊าซมีเทน (Methane) หนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ถึง 20 กว่าเท่าตัว
รู้หรือไม่?
- ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ทิ้งอาหารมากที่สุดในโลก โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยทิ้งอาหารมากถึง 86 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 79 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- ใน 1 วัน มีอาหารเหลือทิ้งกว่า 1,000 ล้านมื้อ และปริมาณขยะอาหารจากครัวเรือนเป็นสัดส่วนสูงสุด
- ขยะอาหารมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 8-10% ของโลก มากกว่าภาคการบินทั้งโลกถึง 4 เท่า!!
- หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซของ “ขยะอาหาร” เป็นประเทศ มันจะกลายเป็น “ประเทศขยะเปียก” ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและสหรัฐฯ เท่านั้น
ความเหลื่อมล้ำด้านอาหาร
...เมื่อขยะอาหารจานหนึ่ง คือความหิวโหยของคนอีกหลายคน
ในขณะที่อาหารจำนวนมหาศาลถูกทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ เร่งโลกร้อน รายงานวิกฤตการณ์อาหารโลก ปี 2024 พบประชากรเกือบ 282 ล้านคน ใน 59 ประเทศ กำลังเผชิญปัญหาความอดอยาก
ทุก 1 ใน 5 ของอาหารที่ผลิตได้ทั่วโลกจะถูกทิ้งทั้งที่ยังสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย ช่องว่างนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 2 ขจัดความหิวโหย และเป้าหมายที่ 12 การผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน
— องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุ
จากหม้อสุกี้สู่เป้าหมายระดับโลก
เรื่องขยะอาหารไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาระดับร้านอาหารหรือผู้บริโภค แต่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเป้าหมายที่สำคัญ 3 ข้อ คือ
SDG 2: ขจัดความหิวโหย – ขณะที่บางคนทิ้งอาหารที่ยังกินได้ คนอีกจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงอาหารที่เพียงพอ
SDG 12: การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน – โดยเฉพาะเป้าหมายย่อย 12.3 ที่เรียกร้องให้ “ลดขยะอาหารต่อหัวลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030”
SDG 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – เพราะขยะอาหารคือหนึ่งในต้นตอการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบไม่จำเป็น
การลดขยะอาหารจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและใช้ต้นทุนต่ำที่สุดในการช่วยโลก แต่กลับถูกมองข้ามในสมรภูมิธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับยอดขายและกำไรเป็นหลัก

อาหารยั่งยืน ต้องเริ่มที่ความพอดี
การแข่งขันที่ขับเคลื่อนด้วยราคาอาจทำให้ร้านอาหารหลายแห่งต้องหั่นต้นทุน ลดคุณภาพ เพิ่มปริมาณเพื่อให้ดูคุ้มค่า แต่โมเดลนี้อาจย้อนกลับมาทำร้ายทั้งธุรกิจ ผู้บริโภค และโลกใบนี้
คำถามสำคัญคือ “เราจะโตไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืนหรือไม่?” หากร้านอาหารเริ่มตระหนักว่าการบริโภคแบบไม่จำกัด ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจอีกต่อไป แต่การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ผลิตอาหารเกินจำเป็น ใช้ระบบวิเคราะห์ความต้องการ – ปริมาณ – พฤติกรรมลูกค้า มาออกแบบเมนูและวัตถุดิบให้แม่นยำมากขึ้น คือหนทางที่ควรเดิน
เทคโนโลยีอย่าง AI ระบบตรวจสอบสต็อกอัตโนมัติ หรือการรีไซเคิลเศษอาหารเพื่อผลิตพลังงานชีวภาพ เริ่มเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจอาหารต้องนำมาใช้ หากต้องการสร้าง “ความยั่งยืนที่แท้จริง”
ผู้ชนะอาจไม่ใช่ผู้ที่ “ราคาถูก” ที่สุด แต่ต้องทำให้ “ถูกทาง” มากที่สุด
ในระยะยาว ผู้ชนะของสงครามสุกี้หม้อเดือดอาจไม่ใช่ฝ่ายที่ให้ราคาถูกที่สุด แต่คือผู้ที่สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้โดยไม่ทำร้ายโลก ผู้ที่วางระบบจัดการอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ลดขยะอาหารโดยไม่ลดคุณค่า และเข้าใจว่า “ทุกขยะอาหารที่ทิ้งไป อาจเร่งให้โลกร้อนกว่าที่เป็นอยู่”