ประเทศไทยเดินหน้าเข้มข้นกับนโยบายจัดการขยะนำเข้า ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศกระทรวง 2 ฉบับ ควบคุมการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste ) และยางรถยนต์ใช้แล้ว โดยกำหนดให้เป็น “สินค้าต้องห้าม” หรือ “ต้องขออนุญาต” นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทรัพยากรของประเทศ
ห้ามนำเข้า E-waste 463 รายการ มีผลทันที
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568 นับเป็นประกาศฉบับล่าสุดมีผลบังคับใช้ใน 24 มิถุนายน 2568 กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวม 463 รายการ เป็น “สินค้าต้องห้าม” ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยถือเป็นการปรับปรุงและขยายความจากประกาศเดิมปี 2563 ซึ่งห้ามไว้ 428 รายการ ทั้งนี้ เป็นการปรับปรุงตามระบบฮาร์โมไนซ์ จากปี 2017 เป็นปี 2022 เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ช่วยเพิ่มความชัดเจนในการจำแนกประเภทขยะ ลดช่องโหว่ในการลักลอบนำเข้า และเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมของเจ้าหน้าที่
สำหรับระบบฮาร์โมไนซ์ หรือ Harmonized System : HS คือ “พิกัดศุลกากร” เป็นวิธีการตั้งชื่อด้วยชุดตัวเลขเพื่อจำแนกประเภทและกำหนดรหัสสินค้าที่ใช้กันในระดับสากล เพื่อให้เข้าใจได้ตรงกันทั้งโลกว่าสินค้านั้นๆ เป็นชนิดใด โดยรหัส HS มีตัวเลข 6 หลักที่กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก หรือ WCO (World Customs Organization) แต่ละผลิตภัณฑ์จะได้รับรหัสตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน นอกจากนั้น ยังมีการใช้รหัสตัวเลข 11 หลักด้วย เรียกว่า “พิกัดรหัสสถิติ” (commodity code) นอกจาก 6 หลักแรก เลขอีก 2 หลักถัดมาจะเป็นการแสดงพิกัดฮาร์โมไนซ์อาเซียน ส่วนเลข 3 หลักหลังเป็นรหัสสถิติที่กำหนดโดยแต่ละประเทศ ซึ่งประเทศจีนจะมีรหัส 13 หลักด้วย

นำเข้ายางรถใช้แล้วต้องขออนุญาต เริ่ม 24 กรกฎาคมนี้
อีกหนึ่งประกาศที่ออกเมื่อ 23 มิถุนายน 2568 และจะมีผลในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 (30 วันนับจากประกาศ) คือประกาศเรื่อง ให้ยางรถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าต้องห้ามหรือต้องขออนุญาต และต้องปฏิบัติตามมาตรการการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568 ที่ควบคุมการนำเข้า “ยางรถยนต์ใช้แล้ว” โดยกำหนดให้เป็นสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าที่ต้องขออนุญาตและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด โดยให้ยกเลิกประกาศฉบับเดิม เรื่องกำหนดให้ยางรถที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2556
สำหรับประกาศฉบับใหม่ได้ให้นิยาม “ยางรถใช้แล้ว” หมายความว่า ยางรถที่ใช้งานแล้วหรือยางรถที่หล่อดอกใหม่ และให้หมายความรวมถึง เศษ เศษตัด และของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นยางรถ ตามข้อ 5 และข้อ 6 ในประกาศฉบับนี้
ดังนั้น ยางรถใช้แล้วที่ห้ามนำเข้า จึงครอบคลุมทั้งยางรถที่ใช้งานแล้วหรือที่หล่อดอกใหม่ รวมถึงบรรดาเศษ เศษตัด และของใช้ไม่ได้ที่เป็นยางรถ ทั้งนี้ ยางที่เข้าข่ายควบคุมครอบคลุมทั้งยางที่หมดอายุการใช้งาน ยางหล่อดอก รวมถึงเศษและซากยาง โดยมีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น การนำเข้าเพื่อการศึกษา การแข่งขัน หรือการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดปริมาณอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ตามประกาศฉบับใหม่นี้ยังคงอนุญาตให้มีการนำเข้ายางรถบัสหรือรถบรรทุกที่ใช้งานแล้วมาหล่อดอกเพื่อการส่งออกได้ รวมทั้งมีข้อยกเว้นในบางกรณี ได้แก่ 1) การนำเข้าเพื่อการศึกษาวิจัยหรือเป็นตัวอย่าง โดยจำกัดไม่เกิน 10 เส้น หรือไม่เกิน 20 กิโลกรัมในกรณีที่เป็นเศษยาง 2) การนำเข้าเพื่อการท่องเที่ยว ไม่เกิน 1 เส้น 3) การนำเข้าเพื่อการแข่งขันรถในจำนวนเท่าที่จำเป็น 4) ยางที่ติดมากับรถบรรทุกระหว่างประเทศเพื่อใช้งานกับรถคันดังกล่าว ไม่เกิน 3 เส้น และ 5) ยางรถใช้แล้วที่นำติดมาเพื่อใช้กับยานพาหนะนั้นๆ ไม่เกิน 1 เส้น

มาตรการเชิงรุก ไม่จบแค่บนกระดาษ?
แม้กฎหมายทั้งสองฉบับจะเป็น “ก้าวสำคัญ” ในการป้องกันประเทศไทยจากการตกเป็นแหล่งระบายขยะของโลก แต่ก็มีความกังวลเรื่อง การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และขาดแคลนบุคลากรหรือเครื่องมือในการตรวจสอบ
สำหรับผลลัพธ์ด้านบวก คือมาตรการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะกลายเป็น “ถังขยะของโลก” โดยเฉพาะจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งปนเปื้อนสารพิษอันตราย เช่น ตะกั่ว แคดเมียม และปรอท ขณะเดียวกัน ยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศโดยใช้วัตถุดิบรีไซเคิลจากภายในมากขึ้น
ทั้งนี้ การประกาศห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และยางรถยนต์ใช้แล้วเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ไทยกำลังตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกอย่างจริงจัง แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือ การปฏิบัติจริงให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ไม่ใช่แค่มี “กฎหมาย” หรือปล่อยให้วลี “กฎหมายดี…แต่ไม่มีผล” เป็นวาทกรรมที่วนกลับมาซ้ำซาก