อุตฯ สุดซอยฉีกหน้ากากอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม สั่งปิดกิจการเซ่นปมแจกดินปนขยะพิษ

6 มิ.ย. 2568 - 10:51

  • กรมโรงงานฯ ตรวจสุดซอย ขยี้คดีโรงงานเถื่อนแจกดินปนขยะพิษให้ประชาชน แกะรอยพบต้นตอ “ดงโกดัง กำปั่นทองฯ” สั่งหยุดกิจการทั้งหมด ส่งตำรวจ บก.ปทส.เอาผิดทันที

  • “กากอุตสาหกรรม = อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม” ร้ายแรงกว่าทุกการทุจริต เพราะฆ่าได้โดยไม่ต้องลั่นไก

อุตฯ สุดซอยฉีกหน้ากากอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม สั่งปิดกิจการเซ่นปมแจกดินปนขยะพิษ

จากกรณีข่าว ชาวบ้านหวั่นดินแจกฟรีกลายเป็นช่องทางทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ เสี่ยงมลพิษในดินระยะยาว ล่าสุด นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม สั่งการด่วนให้เจ้าหน้าที่กองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา ภายหลังได้รับเบาะแสซัดทอดโรงงานเชื่อมโยงคดี บริษัท ภัชชาภิวัฒน์ จำกัด แจกจ่ายดินปนเปื้อนเศษพลาสติกอันตรายให้ประชาชนนำไปถมที่และตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา


กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา

จากการลงพื้นที่ขยายผลตรวจสอบ เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรศักดิ์ จันทร์ชุม อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย พันตำรวจเอก วิญญู แจ่มใส ผกก. 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ภายใต้การอำนวยการของ พลตำรวจตรี วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการ บก.ปทส. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงาน “บริษัท กำปั่นทอง อินดัสทรี จำกัด” ในตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าพื้นที่โรงงานเป็นอาคารโกดัง จำนวน 5 หลัง มีนายทุนชาวจีนเป็นกรรมการบริษัทและเป็นเจ้าของที่ดิน ให้บริษัทชาวจีนแบ่งเช่าอาคารโกดังดังกล่าว เพื่อแยกประกอบกิจการ โดยมีใบอนุญาตโรงงาน 5 ใบอนุญาต แต่กลับแจ้งประกอบกิจการเพียง 1 ใบอนุญาต

กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา

นอกจากนี้ ยังตรวจพบการครอบครองขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย รวมทั้งลักลอบฝังกลบเศษพลาสติกและเศษสายไฟบดย่อยในที่ดินโรงงานและบริเวณใกล้ท่อส่งแก๊สธรรมชาติที่อยู่บนบกของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รวมพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ลักษณะคล้ายที่ตรวจพบในพื้นที่ บริษัท ภัชชาภิวัฒน์ จำกัด

กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยว่า เมื่อตรวจสอบข้อมูลเอกสาร กำปั่นทองฯ มีรายได้จากค่าเช่าอาคารโกดังเหล่านี้ และการให้บริการสาธารณูปโภคส่วนกลาง เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา อินเทอร์เน็ต และระบบรักษาความปลอดภัย ในลักษณะเป็นนิคมหรือเขตปลอดอากร (Free zone) อย่างผิดกฎหมาย โดย กำปั่นทองฯ จะบริการจัดหาวัตถุดิบผลิตภัณฑ์ที่เป็นของต้องห้ามนำเข้าในประเทศ จำพวกขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษพลาสติก เศษสายไฟ และชิ้นส่วนรถยนต์ นำมาประกอบธุรกิจศูนย์เหรียญ คัด แยก รีไซเคิล เอาทองแดงไปหลอมส่งจำหน่ายให้โรงงานอื่น ส่วนเศษกากอุตสาหกรรมอันตรายก็ลักลอบฝังกลบ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม

กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา
กรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดฉะเชิงเทรา

เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา จึงออกคำสั่งตามมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ บริษัท กำปั่นทอง อินดัสทรี จำกัด หยุดประกอบกิจการทั้งหมด และยึดอายัดเครื่องจักร วัสดุ สิ่งของ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ กองดินปนเปื้อน และสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตลอดจนเสนอให้พิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานที่ยังไม่แจ้งประกอบกิจการ ส่วนกรณีฝังกลบเศษพลาสติกและเศษสายไฟบดย่อยบริเวณใกล้ท่อส่งแก๊สธรรมชาติ ได้ประสานให้สำนักงานพลังงานจังหวัดฉะเชิงเทราเข้ามาตรวจสอบตามกระบวนการ ขณะเดียวกัน ตำรวจ บก.ปทส. ได้ข้อมูลชัดเจนว่าโรงงานดังกล่าวแสดงพฤติการณ์ในการขนย้ายวัตถุดิบผลิตภัณฑ์เข้าออกโรงงาน จึงจะรวบรวมพยานหลักฐานนำส่งให้พนักงานสอบสวนขยายผลติดตามตรวจสอบและพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีความผิดต่อไป

  

sustainability-unmasking-toxic-soil-scandal-SPACEBAR-Photo04.jpg

กากอุตสาหกรรม = อาชญากรรมสิ่งแวดล้อม

กรณี “ดงโกดัง กำปั่นทองฯ” เหมือนเป็นฉากหน้าของอุตสาหกรรมรีไซเคิลเถื่อน แต่ฉากหลังคือขบวนการลักลอบทำลายสิ่งแวดล้อมโดยมีทุนต่างชาติเป็นเจ้าของพื้นที่ ใช้ประเทศไทยเป็น “ที่ทิ้งขยะ” อย่างไร้ความละอาย นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาโรงงานเถื่อน แต่มันคือ “อาชญากรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Crime) เต็มรูปแบบ” ที่มีกระบวนการจัดหา ขนส่ง ดำเนินการ ฝังกลบ โดยอาศัยช่องว่างของกฎหมาย

การ “แจกดินฟรี” ที่แฝงเศษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ใช่แค่การประหยัดต้นทุน แต่คือการผลักต้นทุนไปให้ชาวบ้านในชนบท ขณะที่ผู้ก่อเหตุลอยนวลภายใต้ใบอนุญาตและโกดังเช่าราคาถูก

เศษซากสายไฟเหล่านี้จะย่อยสลายเป็นมลพิษในดิน เศษพลาสติกจะไหลลงแหล่งน้ำ วงจรนี้ไม่จบแค่ดงโกดัง แต่จบที่โต๊ะอาหารของเราในรูปของสารพิษตกค้างในอาหาร น้ำ และอากาศ และนั่นคือเหตุผลที่อาชญากรรมลักษณะนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าการทุจริตใดๆ เพราะมันฆ่าคนโดยไม่ต้องลั่นไก

ประเทศไทยจะไม่รอดจากการเป็น “หลุมฝังกลบโลก” หากยังคงปล่อยให้ทุนสีเทาใช้ใบอนุญาตปลอมตัวเป็นนิคมอุตสาหกรรม และหากเจ้าหน้าที่รัฐยังคง “หลับตาข้างหนึ่ง” เพราะคำว่า “ไม่รู้ๆ” ไม่เคยช่วยใครให้ปลอดภัยจากพิษ

 

ถึงเวลาแล้วที่รัฐต้องนิยามใหม่ว่า ขยะอุตสาหกรรมคือ “ภัยมั่นคง” และรื้อโครงสร้างทั้งระบบเพื่อให้การจัดการกากอุตสาหกรรมเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่มีวันผ่อนผันให้กับความมักง่ายหรือทุนเทาอีกต่อไป


เรื่องเด่นประจำสัปดาห์