ผลการศึกษาระดับนานาชาติที่ตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) เปิดเผยว่า แม่น้ำในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกมีการปนเปื้อนของสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (Active Pharmaceutical Ingredients: APIs) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของยารักษาโรค โดยการปนเปื้อนเหล่านี้กำลังภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาพของมนุษย์ รวมถึงสัตว์อย่างกว้างขวาง
นักวิทยาศาสตร์เตือนถึงปัญหามลพิษยาปฏิชีวนะในแม่น้ำกำลังลุกลามในระดับโลก โดยเฉพาะในประเทศรายได้น้อยถึงปานกลาง พร้อมเสนอเร่งปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย ก่อนการ “ดื้อยา” จะกลายเป็นวิกฤตสุขภาพในอนาคต

พบมลพิษจากยารักษาโรคปนเปื้อนในแม่น้ำทั่วโลก
ในปี 2022 การศึกษา ‘Pharmaceutical pollution of the world’s rivers’ จากทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยยอร์ก ในสหราชอาณาจักร ตรวจสอบคุณภาพแม่น้ำโดยใช้ตัวอย่างน้ำจาก 1,052 จุด ที่เก็บจากแม่น้ำทั้งหมด 258 สาย ใน 104 ประเทศ ผลตรวจวิเคราะห์หาสาร API จำนวน 61 ชนิด พบว่าในกว่า 25.7% ของจุดเก็บตัวอย่าง ระดับของสารอย่างน้อยหนึ่งชนิดสูงเกินค่าที่ถือว่าปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ ที่น่าตกใจคือ มีแม่น้ำเพียง 2 สายเท่านั้นที่ไม่พบมลพิษจากผลิตภัณฑ์ยา
ยาและสารที่พบมากที่สุด
กลุ่มสารที่พบมากที่สุดในแม่น้ำทั่วโลก ได้แก่ อะม็อกซิลลิน (amoxicillin) เซฟไตรแอกโซน (ceftriaxone) และเซฟิซิม (cefixime) ยังมี Carbamazepine (ยากันชัก) Metformin (ยาลดน้ำตาลในเลือด) และ Caffeine (สารกระตุ้นจากการบริโภคทั่วไป) ทั้งนี้ การสะสมของสารเหล่านี้ในสิ่งแวดล้อมมีความเสี่ยงต่อระบบนิเวศ เช่น การทำให้ปลามีลักษณะเพศผิดปกติ การเจริญเติบโตของพืชน้ำลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในสัตว์น้ำ โดยภูมิภาคที่พบการปนเปื้อนสูง ได้แก่ แอฟริกา เอเชียใต้ และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้ระดับต่ำถึงปานกลาง ซึ่งมักขาดแคลนระบบบำบัดน้ำเสียและการจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพ จุดที่พบสาร API สูงสุด ได้แก่ แม่น้ำ Rio Seke ใจกลางกรุงลาปาซ ประเทศโบลิเวีย ซึ่งพบพาราเซตามอลในระดับสูงถึง 227 ไมโครกรัมต่อลิตร
ปี 2025 แม่น้ำทั่วโลกกำลังปนเปื้อน “ยาปฏิชีวนะ”
ล่าสุด ในปี 2025 รายงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา เปิดเผยว่า แม่น้ำหลายล้านกิโลเมตรทั่วโลกกำลังปนเปื้อน “ยาปฏิชีวนะ” ในระดับที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยพบว่ามียาปฏิชีวนะราว 8,500 ตันถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำในแต่ละปี หรือคิดเป็นเกือบ 30% ของปริมาณยาที่มนุษย์บริโภคทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้ผู้คนราว 750 ล้านคนทั่วโลกตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงอินเดียและปากีสถาน ซึ่งมักรับยาปฏิชีวนะกันโดยไม่จำเป็นต้องมี “ใบสั่งยา”
การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร PNAS Nexus ใช้แบบจำลองชื่อ HydroFATE วิเคราะห์เส้นทางของยาปฏิชีวนะ 40 ชนิดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่การบริโภค ไปจนถึงการระบายผ่านระบบน้ำเสีย พบว่าประมาณ 11% ของยาทั้งหมด หรือราว 3,300 ตัน ยังไหลลงสู่ทะเลสาบและมหาสมุทรด้วย
ประเทศรายได้น้อยตกอยู่ในความเสี่ยงสูง
ทีมวิจัยระบุว่า แม่น้ำในประเทศรายได้ปานกลางถึงต่ำ เช่น อินเดีย ปากีสถาน เวียดนาม ไนจีเรีย และเอธิโอเปีย พบค่าความเข้มข้นของยาปฏิชีวนะสูงเกินระดับความปลอดภัย โดยในบางพื้นที่ของอินเดียพบแม่น้ำที่ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะมากกว่า 10 ชนิดในจุดเดียว ทั้งนี้ ยาที่พบมากที่สุดคือ อะม็อกซิลลิน เซฟไตรแอกโซน และเซฟิซิม ซึ่งรวมกันคิดเป็นกว่า 75% ของการบริโภคยาปฏิชีวนะทั่วโลก
นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่ากว่า 750 ล้านคนทั่วโลกอาศัยอยู่ในรัศมีไม่เกิน 10 กิโลเมตรจากแม่น้ำที่มีการปนเปื้อนสูง หากประชาชนกลุ่มนี้ใช้น้ำจากแหล่งเหล่านี้เพื่อการอุปโภคบริโภคก็อาจได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากการสะสมของยาปฏิชีวนะ
ระบบบำบัดน้ำเสียล้มเหลว ประชากรรับมือสารปนเปื้อน
“แม้ระบบบำบัดน้ำเสียในบางประเทศจะมีประสิทธิภาพ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อกำจัดโมเลกุลของยาปฏิชีวนะโดยเฉพาะ ทำให้เกิดการสะสมในสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง”
— ดร.เบิร์นฮาร์ด เลห์เนอร์ นักวิจัยด้านอุทกวิทยาโลก จากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ระบุ
แม้หลายประเทศจะมีระบบบำบัดน้ำเสีย แต่จากข้อมูลของธนาคารโลกพบว่า น้ำเสียทั่วโลกถึง 80% ยังถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่ผ่านการบำบัดอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายความว่ายาปฏิชีวนะที่ขับออกจากร่างกายมนุษย์จำนวนมากยังคงเล็ดลอดเข้าสู่ระบบนิเวศ

“การดื้อยา” คือวิกฤตที่อาจตามมา
การปนเปื้อนของยาปฏิชีวนะในแหล่งน้ำธรรมชาตินอกจากจะคุกคามความหลากหลายของจุลินทรีย์ในระบบนิเวศแล้ว ยังอาจกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา “ยีนดื้อยา” ในจุลชีพต่างๆ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า หากไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้ คาดการณ์ว่าเชื้อดื้อยาเหล่านี้อาจกลายเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลกภายในปี 2050 และการติดเชื้อจากเชื้อดื้อยาอาจคร่าชีวิตผู้คนมากถึง 10 ล้านคนต่อปี
ข้อมูลจากสหประชาชาติยังเผยว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยาราว 700,000 คนต่อปี และแนวโน้มดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข

สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงซ้ำเติมสถานการณ์
ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็มีบทบาทซ้ำเติมความเสี่ยง จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแบงกอร์ในสหราชอาณาจักร พบว่าเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน มีแนวโน้มทำให้ “น้ำเสียดิบ” ไหลลงสู่แม่น้ำและทะเลสาบในวงกว้าง นำพาสารปนเปื้อนทั้งเชื้อโรคและยาปฏิชีวนะลงสู่ระบบนิเวศโดยตรง
แม้ไวรัสในน้ำเสียบางชนิดอาจสลายได้ภายใต้แสงแดด แต่ในช่วงอากาศครึ้มและอุณหภูมิต่ำ พวกมันสามารถคงอยู่ได้นานหลายวัน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในพื้นที่ที่มีระบบบำบัดน้ำเสียไม่ทั่วถึง
ทางออกต้องเป็นระบบและเร่งด่วน
นักวิจัยเสนอว่า การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยมาตรการร่วมจากทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และประชาชน โดยควรเร่งลงทุนในการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถกำจัดยาปฏิชีวนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบสารตกค้างในแหล่งน้ำอย่างเข้มงวดและสม่ำเสมอ
ในระยะยาว การควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น และให้ความรู้แก่ประชาชนเรื่องการใช้ยาอย่างเหมาะสม จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดแหล่งกำเนิดของมลพิษเหล่านี้
“การศึกษานี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาสุขภาพทั่วโลกอยู่ แต่ผลลัพธ์ของเราบ่งชี้ว่า อาจมีผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจต่อสภาพแวดล้อมทางน้ำ และการดื้อยาปฏิชีวนะ ซึ่งต้องมีวิธีการจัดการเพื่อหลีกเลี่ยงหรือผลกระทบที่เกิดขึ้น”
— เบิร์นฮาร์ด เลห์เนอร์ ศาสตราจารย์ด้านอุทกวิทยาโลกในภาควิชาภูมิศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ และผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าว
ไทยอยู่ในข่ายเสี่ยงต้องเร่งรับมือ
สำหรับประเทศไทย แม่น้ำเจ้าพระยา และ แม่น้ำโขง ถูกระบุในงานวิจัยว่า “เป็นพื้นที่ที่พบการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะ” สะท้อนถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียในเขตเมืองและอุตสาหกรรม การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการออกมาตรการควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะให้มีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยวันนี้ นอกจากสารหนูในแม่น้ำกก สารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ แม่น้ำสายธรรมชาติยังมียาปฏิชีวนะปนเปื้อน ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ กำลังสั่นคลอน ทั้ง SDG 3: ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี โดยเฉพาะเป้าหมายย่อยที่มุ่งลดอัตราการติดเชื้อดื้อยา และ SDG 6: น้ำสะอาดและการสุขาภิบาล โดยเฉพาะเป้าหมายย่อย 6.3 ที่ตั้งเป้าลดน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัดลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030
การจัดการปัญหานี้จึงไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือสาธารณสุขของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่คือประเด็นร่วมของความยั่งยืนในระดับโลกที่ต้องการการตอบสนองอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน