ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “การปลูกป่า” ถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการต่อสู้กับโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยเฉพาะการผลักดันการปลูกต้นไม้ภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Markets) ที่องค์กรต่างๆ ลงทุนเพื่อชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ด้วยการปลูกหรืออนุรักษ์ป่าไม้ อย่าง กลไกคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ทว่า รายงานล่าสุดจากสถาบันทรัพยากรน้ำ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ แห่งสหประชาชาติ (UNU-INWEH) กลับชี้ว่า กลไกดังกล่าวอาจย้อนกลับมาเป็นภัย หากไม่ประเมินความเสี่ยงจากไฟป่าอย่างรอบด้าน

“ป่า” จากเครื่องดูดคาร์บอน สู่แหล่งปล่อยคาร์บอน PM2.5
ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ป่าไม้ในบางพื้นที่ เช่น ป่าเขตหนาวในแถบอาร์กติก ป่าแอมะซอนบางส่วน และพื้นที่บางแห่งในออสเตรเลีย กำลังเปลี่ยนสถานะจากแหล่งดูดซับคาร์บอน (Carbon Sink) ไปเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอน (Carbon Source) อันเนื่องมาจาก “ไฟป่า” ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น พ่วงมาด้วยปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่าง “มะเร็งปอด”
ตัวอย่างชัดเจนคือ ไฟป่าในแคนาดาปี 2023 ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการปล่อยจากภาคอุตสาหกรรมทั้งปีของทุกประเทศในโลก ยกเว้นจีนและอินเดีย ขณะที่พื้นที่ที่ถูกเผาทำลายจำนวนไม่น้อย คือผืนป่าที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์ หรือปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนโดยตรง

ปลูกเพิ่มอาจไม่ช่วย หากละเลยบริบทท้องถิ่น
“การปลูกป่าเพื่อแก้โลกร้อน อาจกลายเป็นการสร้างเชื้อเพลิงให้กับไฟในอนาคต” รายงานระบุ
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่แห้งแล้งและเสี่ยงไฟป่าสูง การปลูกไม้โตเร็วโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยท้องถิ่น เช่น ความชื้นของดิน หรือปริมาณน้ำฝน อาจเร่งการสะสมของเชื้อเพลิงชีวมวล และเพิ่มความรุนแรงของไฟป่าในอนาคต
นักวิจัยเตือนว่า แนวทางปัจจุบันของตลาดคาร์บอนยังตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า “ปลูกต้นไม้ = ดูดซับคาร์บอน” โดยไม่ประเมินความเสี่ยงเชิงพลวัต (Dynamic risk) เช่น ความถี่ของไฟป่า หรือการระบาดของแมลงที่อาจส่งผลให้ต้นไม้ล้มตายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ รายงานยังย้ำว่าไม่ใช่ทุกโครงการปลูกป่าจะเป็นอันตราย แต่จำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบทั้งหมดให้ทันต่อความจริงทางสิ่งแวดล้อม โดยควรใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ติดตามสภาพดิน ความชื้นฝน ภัยแล้ง และความเสี่ยงอนาคต ก่อนอนุมัติโครงการใดๆ ที่ใช้ป่าเป็นแนวทางลดคาร์บอน
ดาวเทียมอาจเป็นทางออก
เพื่อแก้ปัญหา นักวิจัยเสนอให้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมแบบเรียลไทม์ในการประเมินสุขภาพของป่า ความชื้นในดิน ความหนาแน่นของพืชพรรณ และการเปลี่ยนแปลงเชิงนิเวศอย่างต่อเนื่อง
“การใช้ข้อมูลย้อนหลังและแบบจำลองคงที่ไม่สามารถสะท้อนความเสี่ยงในโลกจริงได้อีกต่อไป ต้นไม้ที่ปลูกวันนี้อาจกลายเป็นเชื้อเพลิงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากเราไม่ปรับระบบให้ทันความเป็นจริง”
— ดร.ยู ฮยอง ลี ผู้เขียนรายงานหลักจาก UNU-INWEH ระบุ
เสนอปรับแนวคิด ‘บริหารแทนปลูกเพิ่ม’
ในรายงานยังเสนอว่า สำหรับบางพื้นที่แนวทางที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ “การปลูกต้นไม้เพิ่ม” แต่เป็นการบริหารจัดการป่าที่มีอยู่ เช่น ลดความหนาแน่นของต้นไม้ หรือนำสัตว์เลี้ยงมากินวัชพืชเพื่อลดเชื้อเพลิงธรรมชาติ แม้จะฟังดูขัดแย้ง แต่ในระบบนิเวศบางประเภท วิธีการเหล่านี้กลับช่วยรักษาสมดุลของความชื้นและลดโอกาสเกิดไฟได้ดีกว่าการปลูกซ้ำซ้อนโดยไม่วางแผน
อีกข้อเสนอสำคัญของรายงานคือ การจัดตั้งแพลตฟอร์มติดตามป่าไม้ระดับโลก ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากดาวเทียมเข้ากับระบบตลาดคาร์บอน โดยสามารถประเมินความเสี่ยงและปรับเครดิตตามสถานการณ์จริง ไม่ใช่ให้เครดิตล่วงหน้าโดยยึดตามแผนงานที่อาจไม่สะท้อนความเปราะบางของป่าในระยะยาว
“เราต้องปกป้องป่าไม้ ไม่ใช่แค่จากไฟป่า แต่จากความล้มเหลวของนโยบายที่มองธรรมชาติเป็นสิ่งคงที่ ทั้งที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
— ศ.ดร.คาเวห์ มาดานี ผู้อำนวยการ UNU-INWEH กล่าวสรุป

ป่าคือระบบมีชีวิต ไม่ใช่เครื่องมือทางบัญชี
ในยุคที่ภาวะโลกร้อนทำให้ไฟป่าเกิดถี่และรุนแรงมากขึ้น การปลูกป่าอาจไม่ใช่คำตอบเดียว หากไม่มีการวางแผนบริหารจัดการที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นพอ รายงานของ UNU-INWEH คือคำเตือนว่า “วิธีแก้” อาจกลายเป็น “ตัวเร่งปัญหา” หากนโยบายยังตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกธรรมชาติ