ปลูกป่าเร่งโลกร้อน! UN เตือนกลไกคาร์บอนเครดิตอาจกลายเป็นไฟลามโลก

10 มิ.ย. 2568 - 07:21

  • รายงานของ UNU-INWEH เตือนโครงการปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) อาจกลายเป็น “ตัวเร่งปัญหา” ไฟป่า หากไม่มีการออกแบบและบริหารจัดการที่รัดกุม

  • นักวิจัยเสนอให้ปฏิรูประบบเครดิตคาร์บอนด้วยข้อมูลดาวเทียมและการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นขึ้น

ปลูกป่าเร่งโลกร้อน! UN เตือนกลไกคาร์บอนเครดิตอาจกลายเป็นไฟลามโลก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “การปลูกป่า” ถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญในการต่อสู้กับโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) โดยเฉพาะการผลักดันการปลูกต้นไม้ภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Markets) ที่องค์กรต่างๆ ลงทุนเพื่อชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ด้วยการปลูกหรืออนุรักษ์ป่าไม้ อย่าง กลไกคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ทว่า รายงานล่าสุดจากสถาบันทรัพยากรน้ำ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ แห่งสหประชาชาติ (UNU-INWEH) กลับชี้ว่า กลไกดังกล่าวอาจย้อนกลับมาเป็นภัย หากไม่ประเมินความเสี่ยงจากไฟป่าอย่างรอบด้าน


“ไฟป่า” ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น พ่วงมาด้วยปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่าง “มะเร็งปอด”
“ไฟป่า” ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น พ่วงมาด้วยปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่าง “มะเร็งปอด”

“ป่า” จากเครื่องดูดคาร์บอน สู่แหล่งปล่อยคาร์บอน PM2.5

ข้อมูลจากรายงานระบุว่า ป่าไม้ในบางพื้นที่ เช่น ป่าเขตหนาวในแถบอาร์กติก ป่าแอมะซอนบางส่วน และพื้นที่บางแห่งในออสเตรเลีย กำลังเปลี่ยนสถานะจากแหล่งดูดซับคาร์บอน (Carbon Sink) ไปเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอน (Carbon Source) อันเนื่องมาจาก “ไฟป่า” ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น พ่วงมาด้วยปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่าง “มะเร็งปอด”

ตัวอย่างชัดเจนคือ ไฟป่าในแคนาดาปี 2023 ซึ่งปล่อยคาร์บอนมากกว่าการปล่อยจากภาคอุตสาหกรรมทั้งปีของทุกประเทศในโลก ยกเว้นจีนและอินเดีย ขณะที่พื้นที่ที่ถูกเผาทำลายจำนวนไม่น้อย คือผืนป่าที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์ หรือปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนโดยตรง


un-warns-carbon-credits-may-worsen-global-warming-SPACEBAR-Photo02.jpg

ปลูกเพิ่มอาจไม่ช่วย หากละเลยบริบทท้องถิ่น


“การปลูกป่าเพื่อแก้โลกร้อน อาจกลายเป็นการสร้างเชื้อเพลิงให้กับไฟในอนาคต” รายงานระบุ

โดยเฉพาะในพื้นที่ที่แห้งแล้งและเสี่ยงไฟป่าสูง การปลูกไม้โตเร็วโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยท้องถิ่น เช่น ความชื้นของดิน หรือปริมาณน้ำฝน อาจเร่งการสะสมของเชื้อเพลิงชีวมวล และเพิ่มความรุนแรงของไฟป่าในอนาคต

นักวิจัยเตือนว่า แนวทางปัจจุบันของตลาดคาร์บอนยังตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า “ปลูกต้นไม้ = ดูดซับคาร์บอน” โดยไม่ประเมินความเสี่ยงเชิงพลวัต  (Dynamic risk) เช่น ความถี่ของไฟป่า หรือการระบาดของแมลงที่อาจส่งผลให้ต้นไม้ล้มตายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

ทั้งนี้ รายงานยังย้ำว่าไม่ใช่ทุกโครงการปลูกป่าจะเป็นอันตราย แต่จำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบทั้งหมดให้ทันต่อความจริงทางสิ่งแวดล้อม โดยควรใช้ข้อมูลจากดาวเทียม ติดตามสภาพดิน ความชื้นฝน ภัยแล้ง และความเสี่ยงอนาคต ก่อนอนุมัติโครงการใดๆ ที่ใช้ป่าเป็นแนวทางลดคาร์บอน

 

ดาวเทียมอาจเป็นทางออก

เพื่อแก้ปัญหา นักวิจัยเสนอให้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมแบบเรียลไทม์ในการประเมินสุขภาพของป่า ความชื้นในดิน ความหนาแน่นของพืชพรรณ และการเปลี่ยนแปลงเชิงนิเวศอย่างต่อเนื่อง

“การใช้ข้อมูลย้อนหลังและแบบจำลองคงที่ไม่สามารถสะท้อนความเสี่ยงในโลกจริงได้อีกต่อไป ต้นไม้ที่ปลูกวันนี้อาจกลายเป็นเชื้อเพลิงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากเราไม่ปรับระบบให้ทันความเป็นจริง”

ดร.ยู ฮยอง ลี ผู้เขียนรายงานหลักจาก UNU-INWEH ระบุ

เสนอปรับแนวคิด ‘บริหารแทนปลูกเพิ่ม’

ในรายงานยังเสนอว่า สำหรับบางพื้นที่แนวทางที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ “การปลูกต้นไม้เพิ่ม” แต่เป็นการบริหารจัดการป่าที่มีอยู่ เช่น ลดความหนาแน่นของต้นไม้ หรือนำสัตว์เลี้ยงมากินวัชพืชเพื่อลดเชื้อเพลิงธรรมชาติ แม้จะฟังดูขัดแย้ง แต่ในระบบนิเวศบางประเภท วิธีการเหล่านี้กลับช่วยรักษาสมดุลของความชื้นและลดโอกาสเกิดไฟได้ดีกว่าการปลูกซ้ำซ้อนโดยไม่วางแผน

อีกข้อเสนอสำคัญของรายงานคือ การจัดตั้งแพลตฟอร์มติดตามป่าไม้ระดับโลก ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากดาวเทียมเข้ากับระบบตลาดคาร์บอน โดยสามารถประเมินความเสี่ยงและปรับเครดิตตามสถานการณ์จริง ไม่ใช่ให้เครดิตล่วงหน้าโดยยึดตามแผนงานที่อาจไม่สะท้อนความเปราะบางของป่าในระยะยาว

“เราต้องปกป้องป่าไม้ ไม่ใช่แค่จากไฟป่า แต่จากความล้มเหลวของนโยบายที่มองธรรมชาติเป็นสิ่งคงที่ ทั้งที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา”

ศ.ดร.คาเวห์ มาดานี ผู้อำนวยการ UNU-INWEH กล่าวสรุป

 

un-warns-carbon-credits-may-worsen-global-warming-SPACEBAR-Photo03.jpg

ป่าคือระบบมีชีวิต ไม่ใช่เครื่องมือทางบัญชี

ในยุคที่ภาวะโลกร้อนทำให้ไฟป่าเกิดถี่และรุนแรงมากขึ้น การปลูกป่าอาจไม่ใช่คำตอบเดียว หากไม่มีการวางแผนบริหารจัดการที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นพอ รายงานของ UNU-INWEH คือคำเตือนว่า “วิธีแก้” อาจกลายเป็น “ตัวเร่งปัญหา” หากนโยบายยังตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกธรรมชาติ

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์