ภาพหลอนจำนำข้าว รุมต้านเงิน 10,000 บาทดิจิทัล

6 ต.ค. 2566 - 09:28

  • ความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ยังหลอกหลอนเศรษฐกิจไทย

  • แจกเงิน 10,000 บาทดิจิทัล กำลังถูกหลายฝ่ายที่คัดค้านออกมาต่อต้าน

  • สุดท้ายต้องรอรัฐบาลตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อ หรือปรับแนวทาง

economy_thailand_digital_wallet_block_chain_bot_serttha_SPACEBAR_Hero_bfa3b75244.jpg

เค้าลางของพายุอารมณ์จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทของรัฐบาลที่ก่อตัวขึ้นมาระยะหนึ่ง เริ่มมีกระแสความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำท่าจะกลายเป็นพายุร้ายซัดถล่มรัฐนาวาของ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ให้อัปปางเอาง่าย ๆ หากยังคงฝืนกระแสต้าน ดึงดันที่จะเดินหน้าต่อไป โดยไม่ยอมปรับเปลี่ยนในรายละเอียด

ที่ผ่านมา มีทั้งนักการเมืองที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจจากฝ่ายตรงข้าม และแม้แต่จากพรรคร่วมรัฐบาลเอง รวมทั้งนักวิชาการ และนักเศรษฐศาสตร์ หรือแม้แต่ภาคธุรกิจ ต่างก็ตั้งคำถามและสงสัยถึงความจำเป็น และความคุ้มค่าของโครงการนี้ ซึ่งต้องใช้เม็ดเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท เพื่อแจกเงินดิจิทัลให้กับคนไทยที่มีอายุ16 ปีขึ้นไป จำนวนถึง 56 ล้านคน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภค ในระยะเวลา 6 เดือน

เสียงติงที่ดูจะดังและมีน้ำหนักค่อนข้างมาก น่าจะมาจากฝั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เป็นผู้ดูแลและกำหนดนโยบายด้านการเงิน โดยเฉพาะเสียงที่มาจาก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่มองว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ถึงขึ้นต้องอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเข้าไปกระตุ้น โดยมองว่า อาจจะเป็นการให้ “ยาผิดซอง” คือแทนที่จะให้ยาเพื่อแก้ “โรคเรื้อรัง” ที่เป็นปัญหา คือเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการลงทุน แต่กลับไปให้ “ยากระตุ้น” ที่อาจจะเกิดผลข้างเคียงที่สร้างปัญหาใหม่

จุดยืนดังกล่าว ได้รับการตอกย้ำหลายครั้ง แม้แต่ในการหารือแบบสองต่อสอง ระหว่าง ผู้ว่าฯเศรษฐพุฒิ กับ นายกฯ เศรษฐา เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีการตอกย้ำถึงข้อกังวลในประเด็นดังกล่าว 

ในการหารือ ถึงแม้นายกฯ เศรษฐา จะยืนยันถึงความจำเป็นในทางการเมือง และมุมมองที่รัฐบาลมีความเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็รับปากที่จะนำข้อสังเกตต่าง ๆ ไปพิจารณาและปรับเปลี่ยนแผน เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีการปรับเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะจำเป็นต้องคำนึงถึง ผลกระทบทางการเมือง 

ในเวลาเดียวกัน เสียงค้านจากอดีตขุนคลัง อย่าง ดร.ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล หรือ กรณ์ จาติกวณิช อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหลาย ๆ ท่าน หรือบรรดานักเศรษฐศาสตร์หลาย ๆคน รวมทั้งตัวแทนจากภาคธุรกิจ ก็เป็นสิ่งที่สร้างน้ำหนักในเชิงลบให้กับนโยบายนี้

ปัญหาใหญ่ที่ นายกฯ เศรษฐา ต้องตัดสินใจในเบื้องต้นในเวลานี้ คือ ขนาดของวงเงินที่จะใช้ในโครงการ และที่มาของเงิน เพราะหลายฝ่ายมองว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินสูงถึง 5.6 แสนล้านบาท โดยสามารถจำกัดเป้าหมายของการแจกเงินไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับการกระตุ้น เช่นกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีราว 40 ล้านคนมากกว่า ซึ่งจะทำให้จำนวนเม็ดเงินที่ต้องใช้ก็จะลดลงถึงราว 1.6 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกันที่มาของเงินก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา เพราะในภาวะอัตราดอกเบี้ยตึงตัว อยู่ในช่วงวัฎจักรขาขึ้นอย่างในปัจจุบัน หากรัฐบาลจำเป็นต้องกู้หรือยืมเงินจากสถาบันการเงินภาครัฐ อย่างธนาคารออมสิน ย่อมทำให้ตลาดการเงินตึงตัว และกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยที่ต้องขยับขึ้นตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น 

นอกจากนี้ปัญหาเรื่องรูปแบบของการแจกเงิน ที่รัฐบาลพยายามที่จะแจกในรูปของ เงินดิจิทัล ผ่านระบบ Block Chain ก็มีคำถาม ถึงเหตุผลความจำเป็น และความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการ

“ต้องยอมรับว่า ภาพหลอนจากความล้มเหลวของโครงการจำนำข้าว ในอดีตสมัย นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สร้างหนี้และความเสียหายหลายแสนล้านบาท ยังคงเป็นฝันร้ายที่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก”

ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet นัดแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา จึงดูจะยังอยู่ในอาการติด ๆ ดับ ๆ ไม่เดินหน้า แต่ก็ยังไม่ยอมถอยหลัง เพราะต้องชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียในแต่ละด้านให้ชัดอีกครั้ง

จึงไม่น่าแปลกใจที่การประชุมใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง และถึงขนาด นายกฯ เศษฐา ต้องมีการกำชับกันในที่ประชุมว่า ให้นำข้อเสนอแนะทุกอย่างมาคุยกันบนโต๊ะประชุมเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน หากยังไม่ได้ข้อสรุป หรือขัดแย้งกันก็ให้ทิ้งไว้บนโต๊ะประชุม และหาทางออกร่วมกัน อย่าไปให้ข่าวที่อาจทำให้เกิดความสับสน

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการที่คล้ายการซื้อเวลาของรัฐบาลในเรื่องนี้ก็คงลากยาวไปได้อีกไม่นาน เนื่องจากยิ่งทอดระยะเวลานานต่อไป โดยไม่มีความชัดเจน ก็จะไปกระทบถึงความเชื่อมั่นในตลาดเงินตลาดทุน ซึ่งเห็นได้ชัดจากความปั่นป่วยในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีอาการของเงินทุนไหลออกจำนวนมาก จนทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปแบบยวบยาบ และหุ้นดิ่งลงค่อนข้างแรง

ยิ่งไปกว่านั้น กระแสคัดค้านนโยบายดังกล่าว ก็เริ่มลุกลาม และมีแนวร่วมที่ขยายวงมากขึ้นจนอาจจะกลายเป็นพายุทางการเมืองซัดถล่มรัฐนาวาของ นายกฯ เศรษฐา ให้อัปปางลงได้ง่าย ๆ

โจทย์ในวันนี้ จึงน่าจะมาถึงจุดที่รัฐบาล ควรจะหาทางออก หรือทางลงให้กับนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้ แต่ไม่ควรจะดึงดันเดินหน้าต่อไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย   

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เงินดิจิทัล 1 หมื่น ขอเคาะเร็ว ชู ยิ่งช้า ยิ่งฉุดเชื่อมั่น

เงินดิจิทัล 1 หมื่น ใช้อย่างไร? ไม่ด้อย ‘ค่า’

เงินดิจิทัล 10,000 บาท คุ้มหรือไม่ ถ้าต้องแก้เพดานหนี้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์