IGNITE THAILAND ไม่มีอะไรใหม่ ลุงตู่ทำไปหมดแล้ว

22 ก.พ. 2567 - 09:58

  • สร้างศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในภูมิภาค ทั้ง 8 ด้าน

  • การจะก้าวขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง คนไทยต้องเปลี่ยนกรอบความคิด

  • ไม่พูดถึงนโยบาย “เรือธง” ทั้ง 3 ลำ ที่ยังติด “สันดอนทราย”

economy-thai-industry-SPACEBAR-Hero.jpg

เวลา 1 ชั่วโมงกับอีก 9 นาที ในการแสดงวิสัยทัศน์ประเทศไทย ในงาน “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ในช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ตักสันติไมตรี โดยมี คณะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ และผู้ว่าราชการทั้ง 77 จังหวัด รวมทั้งตัวแทนจากภาคเอกชน รวมไม่ต่ำกว่า 500 คน และมีการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ NBT

น่าจะเป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่า นายกฯ ถุงเท้าหลากสีของไทย มีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมในการรับบทเป็น “เซลล์แมน” ขายฝันให้กับคนไทยที่ตกอยู่ในอาการของโรค “ซึมเศร้า” ได้มีความหวังขึ้นมาบ้าง ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวจมอยู่ภายใต้ฝุ่น PM. 2.5 อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

แต่มันก็ดูจะเป็นเรื่องแปลกที่รัฐบาลของนายกฯ เศรษฐา เพิ่งมาประกาศวิสัยทัศน์ในการทำงาน ทั้งที่เป้าหมายการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ควรจะถูกประกาศมาตั้งแต่วันแรกของการเข้ามาบริหารประเทศเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เหตุใดถึงต้องใช้เวลาทำการบ้านยาวนานถึงครึ่งปีกว่าจะกำหนดวิสัยทัศน์ประเทศไทยทั้ง 8 ด้านขึ้นมา

ที่สำคัญหากไปดูวิสัยทัศน์ที่รัฐบาลต้องการ “จุดพลัง” สร้างศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในภูมิภาค ทั้ง 8 ด้าน ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เริ่มต้นวางรากฐาน และลงมือทำมาแล้วตั้งแต่สมัยรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และก็ยังคงทำอยู่ โดยรัฐบาลของนายกฯ เศรษฐาก็เอามาทำต่อทั้งหมด ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ที่จะสร้าง “เซอร์ไพรส์” ให้ฮือฮากันสักเท่าไร

ทั้งหมดเป็นเพียงการนำศักยภาพของไทยทั้ง 8 ด้าน มาใส่กรอบจัดวางและฉายภาพให้ดูเป็นเรื่องใหม่ โดยมีการต่อยอด ตัดต่อพันธุกรรมจากของเดิม ที่มีการวางรากฐานไว้แล้วตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน และเป็นทิศทางที่ถูกกำหนดไว้ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เกือบทั้งนั้น  

นายกฯ เศรษฐา ฉายภาพในตอนต้นว่า ทั้ง ๆ ที่ไทยมีความพร้อมเกือบจะทุกด้าน แต่ที่ผ่านมาเพราะความขัดแย้งด้านเมือง ทำให้ปิดกั้นและบดบังศักยภาพในการเติบโตด้านเศรษฐกิจของไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวเดินไปช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะเริ่มก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นผู้นำและ “ปักธง” ให้อยู่แถวหน้าบนเวทีโลก 

มีการปลุกเร้า ว่า การจะก้าวขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง คนไทยต้องเปลี่ยนกรอบความคิด หรือ Mindset ให้มีความทะเยอทะยานมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยพยายามจะ “จุดพลัง” หรือ Ignite ให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นที่หนึ่งใน 8 ด้าน

ทั้ง 8 ด้าน ที่รัฐบาลต้องการจุดพลังศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นที่หนึ่งในภูมิภาค ประกอบด้วย การเป็นศูนย์กลางในเรื่องของ การท่องเที่ยว (Tourism Hub) ศูนย์กลางทางการแพทย์ (Wellness & Medical Hub) ศูนย์กลางเกษตรกรรมและอาหาร (Agriculture & Food Hub) ศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub)ศูนย์กลางการขนส่ง (Logistic Hub) ศูนย์กลางผลิตรถยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy Hub) และ ศูนย์กลางการเงินและซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Financial Hub)

ตลอดหนึ่งชั่วโมงของความพยายามในการขายฝันของ นายกฯ เศรษฐา จะพูดถึงโอกาสที่ไทยจะก้าวขึ้นมายืนเป็นหนึ่งในทั้ง 8 ด้าน พร้อมกับยกตัวอย่างถึงผลงานบางอย่างที่เริ่มลงมือทำไปในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขกฎระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยให้สามารถทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น (Ease of Doing Business) รวมทั้งความพยายามของตัวเองในการไปชักชวนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย โดยเน้นคำว่า “ใส่ใจ มากกว่าใส่เงิน” เป็นพิเศษ

เป็นที่น่าสังเกตว่า การแสดงวิสัยทัศน์คราวนี้ดูเหมือน นายกฯ เศรษฐา จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงนโยบาย “เรือธง” ทั้ง 3 ลำ ที่ยังติด “สันดอนทราย” เข็นลงน้ำไม่ได้มากนัก โดยมีการแตะถึงเรื่อง “ซอฟท์พาวเวอร์” เกี่ยวกับมวยไทยเพียงนิดหน่อย เช่นเดียวกับเรื่อง “แลนด์บริดจ์” ที่เพียงแต่ยืนยันว่าเป็นอนาคตในการทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่ง

แต่นายกฯ เศรษฐา ไม่ได้กล่าวถึง นโยบายเรือธง ที่เคยมุ่งหวังให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงอย่าง โครงการดิจิตอลวอลเล็ต เลยแม้แต่ประโยคเดียว 

คงไม่เกินเลยไปหากจะบอกว่า วิสัยทัศน์ทั้ง 8 ด้าน ที่รัฐบาลหวังว่าจะนำมาเพื่อ “จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” นั้นไม่ได้มีอะไรใหม่ และเป็นเพียงการประกาศถึงสิ่งที่รัฐบาล “อยากทำ” แต่ก็ยังไม่ได้บอกว่า จะทำอย่างไร ใครเป็นคนทำ และ จะทำเมื่อไร 

ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมีความฝัน และ มีความทะเยอทะยานที่จะไปให้ถึงตามความฝัน แต่ “การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูดเสมอ”

หนึ่งชั่วโมงเศษ ของนายกฯ เศรษฐา เมื่อเช้านี้ คงไม่ได้เป็นเพียง “เวที” ที่จะพยายามตอกย้ำสร้างภาพความเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เริ่มอับแสงลงไปทุกที เพราะหากลองทอดสายตาไปดู บรรดาเสนาบดีที่จะต้องมีบทบาทเป็นผู้เล่นสำคัญในการทำให้ความฝันของนายกฯ เศรษฐาในการจะคว้าถ้วยแชมป์ถึง 8 ถ้วย คงต้องยอมรับความจริงว่า แทบจะไร้ความหวัง 

นายกฯ เศรษฐาคงต้อง “ปลุกเร้า” จุดพลัง รวมใจ ให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแรง หากไม่ได้หวังเพียง “สร้างภาพ ขายฝัน” วิ่งหนีความจริงที่อยู่ตรงหน้าต่อไป...

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์