ทะเลเดือดของจริง! WMO พบคลื่นความร้อนปกคลุมมหาสมุทรใหญ่เท่าทวีปเอเชีย

6 มิ.ย. 2568 - 07:28

  • องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกพบคลื่นความร้อนทางทะเลครอบคลุมเกือบ 40 ล้าน ตร.กม. ขนาดใหญ่เท่าทวีปเอเชีย ทำลายแนวปะการังและเร่งการสูญพันธุ์สัตว์ทะเล

  • ไทยคือกลุ่มเสี่ยงสูง แนวปะการังฟอกขาวซ้ำซาก ทรัพยากรประมงลดลง ส่งผลกระทบต่อประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวทะเลโดยตรง

  • วิกฤตนี้คือสัญญาณเตือนสุดท้าย WMO ระบุโลกใกล้ถึงจุดที่การเปลี่ยนแปลงจะย้อนคืนไม่ได้ หากไม่มีการเร่งดำเนินนโยบายลดโลกร้อนอย่างจริงจัง

ทะเลเดือดของจริง! WMO พบคลื่นความร้อนปกคลุมมหาสมุทรใหญ่เท่าทวีปเอเชีย

วินาทีนี้อัตราเร่งที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 เพิ่มขึ้นอีก ล่าสุดรายงานสถานการณ์ภูมิอากาศในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ประจำปี 2024 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) เผยว่า อุณหภูมิผิวน้ำทะเลในปีที่ผ่านมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ คลื่นความร้อนทางทะเล (Marine Heatwave) กลืนกินพื้นที่มหาสมุทรกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร หรือราว 15.4 ล้านตารางไมล์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของพื้นที่ผิวมหาสมุทรทั่วโลก เทียบได้กับขนาดของทวีปเอเชีย หรือใหญ่กว่ายุโรปและสหรัฐฯ ถึง 4 เท่า ขณะที่สื่อต่างประเทศเผยขนาดใหญ่กว่าประเทศออสเตรเลียถึง 5 เท่า และนับเป็นหนึ่งในคลื่นความร้อนทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุดที่เคยบันทึกไว้

โดยสาเหตุหลักมาจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Crisis) ซึ่งเป็นผลจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อนเรื้อรังที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ โดยในปีเดียวกันยังมีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) เกิดขึ้นถี่และรุนแรงในหลายพื้นที่ทั่วภูมิภาค

รายงานยังระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติ (ช่วงปี 1991–2020) ถึง 0.48 องศาเซลเซียส ขณะที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเกือบ 4 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 3.5 มิลลิเมตรต่อปี โดย WMO ระบุว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แนวปะการังเกิดการฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่
แนวปะการังเกิดการฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่

สำหรับคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะในพื้นที่แนวปะการัง Great Barrier Reef ของออสเตรเลีย ที่เกิดการฟอกขาวของปะการังครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ปี 2016 ทำให้ปะการังจำนวนมากตายลง การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของอุณหภูมิน้ำทะเลยังสร้างความเครียดต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมาก ซึ่งหลายชนิดอาจต้องอพยพออกจากถิ่นที่อยู่ เผชิญกับการสูญพันธุ์ หรือในกรณี ปลาการ์ตูนหดตัวรับมือคลื่นความร้อน ซึ่งนักวิจัยชี้ว่าเป็นกลไกใหม่ในการปรับตัวต่อโลกร้อน

ศาสตราจารย์เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการใหญ่ของ WMO เตือนว่าการเพิ่มขึ้นของความร้อนในมหาสมุทรและภาวะกรดในทะเล (Acidification) กำลังก่อให้เกิดความเสียหายระยะยาวต่อเศรษฐกิจท้องทะเลและสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทั่วทั้งภูมิภาค พร้อมชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลกำลังเป็นภัยคุกคามเชิง “การดำรงอยู่” ของประเทศหมู่เกาะหลายแห่งในแถบเอเชียแปซิฟิก


“ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติการณ์ของภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ ความร้อนในมหาสมุทรและภาวะกรดในทะเลส่งผลทำลายระบบนิเวศทางทะเลและเศรษฐกิจในระยะยาว การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศหมู่เกาะทั้งหมด และชัดเจนว่าเรากำลังหมดเวลาในการพลิกสถานการณ์นี้”

ศาสตราจารย์เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการใหญ่ของ WMO กล่าว

รายงานยังบันทึกเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นพร้อมกับคลื่นความร้อนในช่วงปีที่ผ่านมา อาทิ

  • ฝนตกหนักและดินถล่มในฟิลิปปินส์ ช่วงเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 93 ราย
  • คลื่นความร้อนต้นฤดูในออสเตรเลีย ทำให้อุณหภูมิในเดือนสิงหาคมทำสถิติใหม่
  • น้ำท่วมรุนแรงในสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่งผลให้ประชาชนกว่า 137,000 คนต้องอพยพ และมีผู้เสียชีวิต 6 ราย
  • น้ำท่วมฉับพลันในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย และภาคเหนือของออสเตรเลีย
  • การสูญเสียธารน้ำแข็งอย่างรวดเร็วในเกาะนิวกินีตะวันตก โดยนักวิจัยคาดว่าธารน้ำแข็งอาจหายไปทั้งหมดภายในปี 2026
  • ฟิลิปปินส์เผชิญกับพายุหมุนเขตร้อนมากถึง 12 ลูกในปีเดียว มากกว่าค่าเฉลี่ยถึงสองเท่า ความเสียหายประเมินมูลค่าเกือบ 430 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ฤดูหิมะในออสเตรเลียสิ้นสุดเร็วกว่าปกติอย่างผิดสังเกต

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์บางส่วนได้ให้ความเห็นว่า ความร้อนในมหาสมุทรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้

อเล็กซ์ เซน กุปตา นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่าทึ่งและเกินความคาดหมายของแบบจำลองภูมิอากาศส่วนใหญ่


“สิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากมีขีดจำกัดด้านอุณหภูมิ หากน้ำทะเลร้อนเกินกว่าที่มันจะทนได้ พวกมันจะเริ่มวิกฤต และหากไม่สามารถอพยพได้ก็จะตายลงในที่สุด”

เซน กุปตา กล่าว

ในขณะที่ระดับความร้อนของปีที่ผ่านมาทำลายสถิติเดิมไปหลายรายการ นักวิจัยจาก WMO ชี้ว่า รายงานฉบับนี้ไม่เพียงเป็นการสะท้อนปัญหาในปัจจุบัน แต่ยังเป็น “สัญญาณเตือนที่ชัดเจน” ว่าโลกจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อหยุดยั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ก่อนที่สถานการณ์จะเลยจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

 

ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคเสี่ยงต่อคลื่นความร้อนทางทะเลโดยตรง

แม้รายงานของ WMO จะกล่าวถึงผลกระทบโดยรวมในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก โดยไม่ได้ระบุชื่อประเทศไทยโดยตรง แต่ด้วยตำแหน่งภูมิศาสตร์ของไทยที่มีชายฝั่งทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ประเทศไทยจึงเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากคลื่นความร้อนทางทะเลที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวบ่อยครั้งขึ้นในบริเวณหมู่เกาะทางใต้ เช่น หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน และหมู่เกาะทะเลตรัง ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง แต่ยังทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง และลดศักยภาพของทะเลไทยในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศโดยรวม

heatwave-sweeps-ocean-the-size-of-asia-SPACEBAR-Photo01.jpg

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ประมง ท่องเที่ยว และวิถีชีวิตชายฝั่ง

อุณหภูมิทะเลที่สูงขึ้นกระทบต่อการแพร่พันธุ์และวงจรชีวิตของสัตว์น้ำในไทยอย่างมีนัยสำคัญ เช่น กุ้ง ปลา ปู ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชาวประมงชายฝั่ง โดยเฉพาะกลุ่มประมงพื้นบ้านที่มีศักยภาพในการปรับตัวต่ำ ความร้อนที่สูงผิดปกติอาจทำให้ปลาบางชนิดอพยพออกนอกพื้นที่ทำประมงเดิม หรือเกิดโรคในสัตว์น้ำ ส่งผลให้ผลผลิตลดลง ซ้ำเติมต้นทุนที่สูงขึ้นอยู่แล้วจากปัจจัยเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่พึ่งพาความงามของทะเล เช่น ดำน้ำดูปะการัง หรือท่องเที่ยวเกาะต่างๆ อาจสูญเสียความน่าสนใจหากแนวปะการังได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ความเสียหายจึงไม่ได้อยู่แค่ในเชิงสิ่งแวดล้อม แต่กระทบต่อปากท้องของผู้คนจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อมจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งเชื่อมโยงกับความแปรปรวนของสภาพอากาศบนบก โดยประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มประสบกับพายุฝนที่ตกหนักขึ้น น้ำท่วมฉับพลัน และภัยแล้งที่รุนแรงและไม่สม่ำเสมอมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ลานีญา-เอลนีโญที่ซ้อนทับกับคลื่นความร้อนในทะเล เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อการเพาะปลูกและความมั่นคงทางอาหารของประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความมั่นคงของชุมชน และศักยภาพในการฟื้นตัวของท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและอุณหภูมิทะเลที่สูงขึ้น กำลังกัดกร่อน “ทุนธรรมชาติ” ของประเทศไทยอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางอาหาร เช่น ประมงพื้นบ้าน อาหารทะเล และแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำชายฝั่ง หากไม่มีมาตรการป้องกันและปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทะเลจะกลายเป็นภัยเงียบที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจฐานรากในระยะยาว ขณะเดียวกันยังทำให้เป้าหมาย “ความมั่นคงทางอาหาร” และการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนในระดับประเทศห่างไกลออกไปอีกขั้น

สำหรับปรากฏการณ์คลื่นความร้อนทางทะเลเชื่อมโยงกับหลายเป้าหมาย SDGs ที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้กับประชาคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ SDG 13 (Climate Action) เกี่ยวกับการเร่งลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ, SDG 14 (Life Below Water) การอนุรักษ์ทะเลและทรัพยากรทางทะเล, SDG 2 (Zero Hunger) ความมั่นคงด้านอาหาร และ SDG 8 (Decent Work and Economic Growth) ที่พูดถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นและแรงงานในภาคส่วนที่เปราะบาง ความล้มเหลวในการตอบสนองต่อวิกฤตเช่นนี้อาจหมายถึงการผิดพลาดทั้งในเชิงนโยบายและจริยธรรมของรัฐที่มีต่อประชาชนและธรรมชาติ

 

ท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาส หากประเทศไทยสามารถใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนเหล่านี้เป็นเครื่องมือกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ที่เน้นสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและระบบนิเวศ การฟื้นฟูแนวปะการังและพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล การพัฒนาอุตุนิยมวิทยาและระบบเตือนภัยให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการสนับสนุนชุมชนชายฝั่งให้มีความรู้และศักยภาพในการปรับตัว หากดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไทยจะไม่เพียงสามารถป้องกันความเสี่ยงที่รออยู่ แต่ยังสามารถเป็นต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์