สนธิสัญญาพลาสติกโลกเดินหน้า 95 ประเทศพร้อมใจ 'ไทย' ยังรอคำตอบ

18 มิ.ย. 2568 - 06:04

  • อาเซียนกับสนธิสัญญาพลาสติกโลก ที่ “ไทย” ยังไร้ชื่อ

  • ส่อง 5 ประเด็นสำคัญผลักดันโลกสู่สนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติก

สนธิสัญญาพลาสติกโลกเดินหน้า 95 ประเทศพร้อมใจ 'ไทย' ยังรอคำตอบ

อีกความหวังด้านสิ่งแวดล้อมโลก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุมมหาสมุทรแห่งสหประชาชาติ ณ เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่นานาประเทศทั่วโลกหารือเพื่อยุติผลกระทบของพลาสติก โดยครั้งนี้มีรัฐบาลจาก 95 ประเทศทั่วโลกแสดงเจตนารมณ์ร่วมลงนามสนับสนุน สนธิสัญญาว่าด้วยมลพิษพลาสติกระดับโลก (Global Plastic Treaty) ซึ่งมุ่งเน้นการยุติและควบคุมปัญหามลพิษพลาสติกอย่างครบวงจรและยั่งยืน ท่ามกลางความหวังว่า สนธิสัญญานี้จะเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีความเข้มแข็งและมีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง 

อาเซียนกับสนธิสัญญาพลาสติกโลก ที่ “ไทย” ยังไร้ชื่อ

ในจำนวนประเทศสมาชิกอาเซียนมีเพียง 2 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ และ กัมพูชา เท่านั้นที่ตอบรับสนธิสัญญานี้ ขณะที่ “ประเทศไทย” ยังไม่มีการลงนามหรือเข้าร่วมในข้อตกลง ซึ่งถือเป็นประเด็นที่น่าตั้งคำถามและท้าทายต่อความตั้งใจจริงของไทยในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

ecoeyes_the_garbage_colony_era_is_over_thailand_bans_the_import_of_plastic_waste_SPACEBAR_Photo01.jpg

สนธิสัญญาพลาสติกโลก คืออะไร?

สนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) เป็นข้อตกลงทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มุ่งลดและควบคุมมลพิษจากพลาสติกตลอดวัฏจักรชีวิต ตั้งแต่ต้นทางการผลิตไปจนถึงปลายทางการจัดการขยะพลาสติก โดยเน้นไปที่การลดการผลิตพลาสติกชนิดที่ไม่จำเป็น การยกเลิกการใช้พลาสติกและสารเคมีที่เป็นอันตราย และการส่งเสริมการออกแบบผลิตภัณฑ์พลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และรีไซเคิลได้

สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายสำคัญที่จะสร้างกรอบเวลาที่ชัดเจนและมีตัวเลขเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม พร้อมทั้งมีมาตรการที่เข้มงวดในการบังคับใช้ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและยุติปัญหามลพิษพลาสติกที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลและสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

ความสำคัญของการร่วมมือระหว่างประเทศ

เอริน ไซมอน รองประธานด้านขยะพลาสติกและธุรกิจของกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ให้ความเห็นว่า การที่ 95 ประเทศแสดงเจตนาร่วมมือในการลงนามสนธิสัญญาครั้งนี้ คือ “สัญญาณเชิงบวก” ที่แสดงถึงความจริงจังในการแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติก

“เหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนก่อนที่การเจรจาจะกลับมาอีกครั้งที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องเข้ามาโต๊ะเจรจา เตรียมความพร้อมและลงมือปฏิบัติตามข้อตกลงที่ประชาชนและโลกใบนี้สมควรได้รับ”

เอริน ไซมอน รองประธานด้านขยะพลาสติกและธุรกิจของกองทุนสัตว์ป่าโลก

“ผู้คนนับล้านทั่วโลกได้เรียกร้องให้มีทางออกต่อวิกฤตมลพิษพลาสติก และแม้วันนี้จะเป็นก้าวที่ถูกทาง แต่เรายังต้องผลักดันต่อไปสู่ข้อตกลงที่มีความหมายและยั่งยืนในเจนีวา”

ร็อบ ออปโซเมอร์ ผู้นำด้านพลาสติกและการเงิน มูลนิธิเอลเลน แมคอาเธอร์

ปัญหาที่ไทยยังต้องเร่งแก้ไข

การที่ประเทศไทยยังไม่เข้าร่วมสนธิสัญญานี้สร้างความกังวลอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาขยะพลาสติกจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

นักสิ่งแวดล้อมและภาคประชาสังคมต่างเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญของสนธิสัญญาฉบับนี้ ที่ไม่เพียงแต่เป็นกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายลดการผลิตพลาสติกและสร้างระบบจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

Sustainability-95-countries-sign-global-plastics-treaty-SPACEBAR-Photo01.jpg

5 ประเด็นสำคัญผลักดันโลกสู่สนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติก

ในเวทีเจรจาระหว่างรัฐบาล (INC) เพื่อจัดทำสนธิสัญญาสากลว่าด้วยการยุติมลพิษจากพลาสติก ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ได้แสดงเจตจำนงร่วมกันในการผลักดันสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันและครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตของพลาสติก โดยมี 5 ประเด็นหลักที่ถูกเสนอให้เป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความจริงจังและทะเยอทะยานของสนธิสัญญานี้

1. ลดการผลิตและการบริโภคพลาสติกปฐมภูมิ

ประเทศสมาชิกเรียกร้องให้มีการกำหนด เป้าหมายระดับโลก เพื่อลดการผลิตและการบริโภคพลาสติกปฐมภูมิให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมี ระบบรายงานข้อมูลการผลิต นำเข้า และส่งออก อย่างโปร่งใส เพื่อควบคุมปริมาณพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง

2. ยกเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกและสารเคมีที่เป็นอันตราย

ข้อเสนอให้จัดทำ บัญชีรายชื่อสากลของพลาสติกและสารเคมีที่ก่อปัญหา เพื่อให้ประเทศภาคีมีพันธกรณีทางกฎหมายในการ ยุติการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นอันตรายหรือขัดขวางการหมุนเวียน (circularity) โดยมีความยืดหยุ่นตามบริบทของแต่ละประเทศ

3. ปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัยและหมุนเวียนได้

การออกแบบผลิตภัณฑ์ต้องเป็นไปเพื่อ ลดการใช้วัตถุดิบใหม่และสารเคมีที่อันตราย พร้อมทั้งเพิ่มปริมาณวัสดุรีไซเคิลและเพิ่มความสามารถในการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง

4. จัดตั้งกลไกทางการเงินที่เป็นธรรมและทั่วถึง

เสนอให้มี กลไกทางการเงินระหว่างประเทศ ที่เข้าถึงได้สำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และประเทศเกาะเล็ก เพื่อให้มีทรัพยากรเพียงพอในการดำเนินมาตรการยุติมลพิษจากพลาสติก โดยยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle)

5. สร้างสนธิสัญญาที่ปรับตัวได้และยึดหลักวิทยาศาสตร์

สนธิสัญญาควรมี กลไกการตัดสินใจที่ยืดหยุ่นและทันสมัย รองรับหลักฐานใหม่ทางวิทยาศาสตร์ และหากไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ ควรอนุญาตให้มีการตัดสินใจผ่านกลไกของ UN เพื่อความก้าวหน้าในการแก้ปัญหา

world-environment-day-10-questions-about-plastic-SPACEBAR-Photo02-1.jpg

ทั้งนี้ ปัญหามลพิษพลาสติกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่เกี่ยวพันกับสุขภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนทั่วโลก หากไม่เร่งดำเนินการร่วมกันในระดับสากล ปัญหานี้จะยิ่งทวีความรุนแรงและยากจะแก้ไขในอนาคต

ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนที่สำคัญควรพิจารณาการเข้าร่วมสนธิสัญญาพลาสติกโลกเพื่อแสดงความรับผิดชอบและเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระดับโลกในการปกป้องสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืน และรักษาโลกใบนี้ไว้สำหรับคนรุ่นหลัง

สำหรับการประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลก (Global Plastic Treaty) ครั้งที่ 5.2 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5–14 สิงหาคม 2568 ณ สำนักงานสหประชาชาติ (Palais des Nations) ในเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์